“ก่อนที่จะมาทำอาชีพนี้พี่คิดว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการจะมีแต่ผู้หญิง พวกแม่ม่ายพวกนี้ แต่พอมาทำจริงๆ แล้วมันมีอีกรูปแบบหนึ่ง กลุ่มผู้ชายก็มี เกย์ก็มี กระเทยก็มี ผู้หญิงก็มี มีทุกอย่าง”
ผู้ชายหน้าวัง (สราญรมย์): โสเภณีชายคู่โลก โศลกแห่งชีวิต (มืด) เศษซากชีวิตทางสังคมผ่านภาพสะท้อนของ “พี่เอก” นามสมมติ: หนึ่งในโสเภณีชายหน้าวังฯ
นายปุญญวันต์ จิตประคอง
นิสิตระดับปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนอื่นต้องบอกว่าการเขียนงานชิ้นนี้ขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะผู้เขียนต้องลงสัมผัสกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น งานเขียนที่ผู้อ่านกำลังอ่านอยู่ตอนนี้นั้นเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นของการวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มคนชายขอบเมือง ซึ่งผู้เขียนได้ใช้เวลาศึกษาวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อครั้งศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หากแต่ปัจจุบันเพิ่งกำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การนำผลงานการวิจัยในครั้งนั้นกลับขึ้นมาเรียบเรียงเป็นบทความอีกครั้งก็เพราะกระแสความต้องการอยากจะอ่านโดยเฉพาะมิตรสหายใกล้ตัวผู้เขียน และที่สำคัญผู้เขียนคิดว่าบทความชิ้นนี้น่าจะนำมาเผยแพร่เป็นกรณีศึกษาผ่านผู้ขายบริการนามสมมติ อันจะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพสะท้อนทางสังคมไทยที่เกิดขึ้นจริงในเมืองหลวงนามว่า “กรุงเทพมหานคร” ซึ่งมีอยู่จริง แม้ในปัจจุบันก็สามารถพบเห็นได้ ผู้เขียนไม่ได้ต้องการมาตีแผ่ให้เห็นมุมมืดของสังคมไทย หากแต่จะเป็นอะไรไหมที่เราคนไทยควรเข้ามาร่วมมือร่วมใจแก้ไขปัญหาโดยการช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ รัฐบาลปัจจุบันควรตื่นตัวได้แล้วหรือยังต่อการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ฉะนั้นบทความชิ้นนี้ไม่ได้ต้องการวิพากษ์วิจารณ์สังคม แต่ต้องการให้สังคมสนใจ ยอมรับและพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อให้จำนวนกลุ่มคนเหล่านี้ลดลงเท่าที่จะเป็นไปได้
ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรกว่า 60 ล้านคน ความแตกต่างระหว่างประชากรกลุ่มต่างๆ จึงมีมาก เมื่อกล่าวถึง “โสเภณีชาย” หลายคนอาจจะไม่รู้จัก ไม่เคยคิดว่ามี หรือหากรู้จักพวกเขาเหล่านี้บ้าง ก็มักจะให้นิยามหรือไปตราคนกลุ่มนี้ในด้านลบ เกิดความคิดในทางที่ไม่ดีแก่ผู้ขายบริการทางเพศ โสเภณีชายก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ถือกำเนิดและดำรงอยู่ในมุมหนึ่งของสังคม และในฐานะสมาชิกทางสังคมเช่นบุคคลอื่นทั่วๆ ไป แต่กระนั้นภาพของการที่บุคคลโดยทั่วไปในสังคมมักมองกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพนี้ว่าเป็น “ผู้เบี่ยงเบนทางสังคม” เพราะผู้ที่ประกอบอาชีพขายบริการทางเพศนั้นปัจจุบันได้กลายเป็นชนกลุ่มชายขอบทางสังคมไปเสียแล้ว อันเนื่องมาจากการกระทำหรือรูปแบบของการประกอบอาชีพมีลักษณะหรือรูปแบบที่แตกต่างจากอาชีพอื่นๆ ทั่วไป เพราะนั่นคือการประกอบอาชีพโดยใช้ร่างกายเข้าแลก เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยสำคัญก็คือเงิน อันเป็นปัจจัยหลักที่สามารถทำให้พวกเขาอยู่รอดไปวันๆ ในสังคมโลกใบนี้ท่ามกลางสิ่งที่เรียกว่า “โลกาภิวัตน์”
แรงจูงใจที่ทำให้ผู้เขียนสนใจที่จะเลือกศึกษาในเรื่อง “ โสเภณีชาย” นั้นมีสาเหตุหลักคือ สภาพการขายบริการทางเพศของผู้ชายนับว่าเป็นรูปแบบใหม่ที่คนในสังคมรู้จักกันน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับการขายบริการของเพศหญิง นอกจากนั้นปัจจุบันได้กลายเป็นปัญหาที่สำคัญที่กำลังได้รับความสนใจจากบุคคลต่างๆ และเป็นปัญหาที่สำคัญที่ควรได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการหาทางป้องกันและแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพประเภทนี้ไม่ให้เป็นเครื่องบำบัดความใคร่ทางเพศของกลุ่มคนต่างชาติหรือแม้กระทั่งชาวไทยด้วยกันเอง ซึ่งการกระทำดังกล่าวนับว่าเป็นการล่วงเกิน หรือล่วงละเมิดทางเพศขั้นร้ายแรงแม้จะได้รับความยินยอมและเต็มใจจากทั้งสองฝ่ายก็ตาม ดังนั้น การที่ข้าพเจ้าได้เลือกศึกษาในประเด็นนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะทำให้ผู้อ่านได้รับทราบถึงปรากฎการณ์รูปแบบใหม่ทางสังคมที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเพศชายกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ไม่มีทางเลือก กระทั่งต้องเข้าสู่กระบวนการค้าประเวณี และปัจจุบันกลุ่มคนเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นคนชายขอบของสังคม ผ่านวาทกรรมการสร้างระบบคุณค่าหรือค่านิยมทางความคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคม
การเป็นผู้ที่ต้องดิ้นรนเพื่อหาหนทางอยู่รอดในสังคม ท่ามกลางวิกฤตปัญหาต่างๆ ในสังคมไทยเป็นสาเหตุหนึ่งของการผลักดันให้กลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเลือกที่จะประกอบอาชีพขายบริการทางเพศด้วยความจำยอม แต่กระนั้นเมื่อสังคมหรือกลุ่มคนรอบข้างได้รับรู้ถึงรูปแบบอาชีพ ตลอดจนกระบวนการต่างๆ ในการทำงานที่มีลักษณะเป็นการกระทำที่เอาร่างกายเข้าแลกด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า แม้จะได้รับความยินยอมในการกระทำของทั้งผู้ซื้อและผู้ขายก็ตาม แต่กระนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่กลุ่มคนรอบข้างหรือสังคมจะให้การยอมรับกลุ่มคนเหล่านี้ เห็นได้ชัดเจนจากปฏิกิริยาการต่อต้านของคนส่วนใหญ่ในสังคม ในเชิงดูถูก เหยียดหยาม มองกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพดังกล่าวว่าต่ำ สถุล ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ กระทั่งปัจจุบันได้กลายเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาวะจิตใจของผู้กระทำนั่นคือผู้ประกอบอาชีพนี้และผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมที่ยากแก่การยอมรับและทำความเข้าใจ
ปัญหาการค้าประเวณีจึงเป็นปัญหาทางสังคมที่สำคัญและเรื้อรังมายาวนาน การป้องกันและแก้ไขปัญหานี้เท่าที่ผ่านมากล่าวได้ว่ายังไม่ประสบผลสำเร็จ กระนั้นกระบวนการค้าประเวณีจึงกลายเป็นปรากฏการณ์รูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นและอยู่คู่กับสังคมไทยตลอดมา
ผู้วิจัยจึงเกิดความสนใจที่จะศึกษากลุ่มคนเหล่านี้ อันเป็นเพราะปัจจุบัน “โสเภณีชาย” ยังคงเป็นที่รู้จักกันน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับโสเภณีหญิง นอกจากนั้นกระบวนการทางอาชีพเหล่านี้ในปัจจุบันได้ถูกขีดกรอบทางความคิดของคนในสังคมส่วนใหญ่ในทัศนะที่ลบ ดูถูกหรือเหยียดหยามต่างๆ นานา กระทั่งได้ผลักดันให้กลุ่มคนประเภทดังกล่าวนี้หลุดออกจากสังคม เป็นเพียงคนชายขอบที่สังคมไม่ต้องการในที่สุด
รากฐานของชีวิต “เอก”: นามสมมติ
“พี่เอก” (นามสมมติ) หนึ่งในผู้ร่วมกระบวนการค้าขายบริการทางเพศในย่านวังสราญรมย์ เป็นชายหน้าตาธรรมดา รูปร่างสมส่วน ผิวคล้ำ มีอัธยาศัยดี พูดเก่ง ปัจจุบันอายุ 26 ปี เป็นลูกคนเดียวในครอบครัว เรียนจบระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แต่ได้วุฒิทางการศึกษาเพียงระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 ตามรูปแบบหลักสูตรของกระบวนการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น เป็นคนบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ แต่มาเติบโตและอยู่อาศัยกระทั่งถึงปัจจุบันกับพ่อที่ชุมชนสำโรง เคยมีแฟนแต่ปัจจุบันเลิกกันเสียแล้วด้วยปัญหาต่างๆ นอกจากนั้นพ่อและแม่ได้แยกทางกันอยู่ตั้งแต่พี่เอกยังเด็ก และได้อาศัยอยู่กับพ่อตั้งแต่นั้นมาโดยตลอด ปัจจุบันพ่อพี่เอกอายุ 55 ปี ป่วยเป็นโรคไตและต่อมประสาทเสื่อม ไม่สามารถเดินได้ ทำได้เพียงยกแขนและขาเท่านั้น นอกจากนั้นในด้านของแม่พี่เอกก็ประสบปัญหาด้านสุขภาพด้วยเช่นกัน เพราะแม่ของพี่เอกได้ล้มป่วยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตต้องนอนอยู่บ้านเฉยๆ ด้วยเหตุนี้พี่เอกจึงต้องต่อสู้และดินรนเลี้ยงดูบุพการีทั้งสองแม้ว่าจะแยกทางกันอยู่แล้วก็ตาม ก่อนหน้าที่พี่เอกจะมาประกอบอาชีพขายบริการทางเพศบริเวณพระราชวังสราญรมย์นั้น พี่เอกเคยทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่แถวสำโรงใกล้บ้านประมาณ 5 เดือน เงินเดือนอยู่ในราวประมาณเจ็ดพันบาท แม้จะไม่มากแต่พี่เอกบอกว่าก็พออยู่ได้ไปวันๆ แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันทางร้านได้เลิกกิจการไปเสียแล้ว เป็นเหตุให้พี่เอกต้องดิ้นรนหางานใหม่ทันทีเพราะไม่สามารถอยู่เฉยๆ หรือรอเวลาที่จะหางานอื่นทำได้เหมือนคนอื่นทั่วไปเพราะพี่เอกต้องมีเงินพอจะอยู่ได้ไปวันๆ เพื่อนำไปใช้เลี้ยงดูพ่อและแม่ที่ไม่สามารถทำงานได้ในปัจจุบัน และเลี้ยงปากท้องของตัวเองเพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป
“พี่เป็นลูกคนเดียว แต่พ่อเลิกกับแม่ไปตั้งนานแล้ว ก็อยู่กับพ่อมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็เลยย้ายมาอยู่กับป้าที่สำโรง แล้วก็เรียนแถวสำโรงนั่นแหละ แต่พี่ได้วุฒิแค่ ม.5 ก็คือเราไม่จบ ม.6 ก็เลยได้วุฒิแค่ ม.3 มาแต่ตอนนี้พี่ไปขอเกรด ม.5 มาเพื่อมาต่อที่ กศน. แต่ตอนนี้คือพี่ไม่มีเวลาเรียน ได้แต่คิด คิดอย่างเดียว คือปัญหาหลักก็อยู่ที่การดำรงชีวิต เลยได้แต่คิดและวางแผนไว้ก่อนตอนนี้ คือที่พี่ทำงานนี้อยู่ก็เพราะต้องส่งเสียเลี้ยงดูพ่อไง เพราะตอนนี้สุขภาพพ่อมีปัญหา มีปัญหาเกี่ยวกับไต แล้วอยู่ดีๆ ต่อมประสาทมันเสื่อม เดินไม่ได้ แต่มันยกแขน ยกขาได้ แต่ก็ทำงานไม่ได้แล้วตอนนี้ แล้วส่วนแม่ก็เป็นอัมพฤกษ์อยู่บ้านเฉยๆ คืออย่างไรก็ตาม เราก็ต้องทำงานนี้ไปก่อน คือถ้าเราจะเปลี่ยนงานใหม่เราก็ต้องมีเงินสำรองสักก้อนไว้ใช้ล่วงหน้าก่อน นี่แหละปัญหาทางครอบครัว ทางบ้านของพี่ มันยังมีปัญหานี้อยู่”
พ่อแม่แยกทาง…ปมด้อยของชีวิต
พื้นฐานชีวิตของพี่เอกในด้านครอบครัวนั้น เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถก่อร่างชายธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เกิดมาต้องกลายเป็นชายขอบของสังคมขึ้นได้ เนื่องจากกระบวนการเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวที่แตกระแหงซึ่งพ่อและแม่แยกทางกันในวัยเด็ก จึงเป็นประเด็นแรกที่ผู้ชายคนนี้ต้องตกอยู่ในภาวะชายขอบของระบบคุณค่าหรือค่านิยมในความสมบูรณ์ของครอบครัว อันเป็นเพราะคุณค่าทางสังคม หรือค่านิยมทางสังคมนั้นได้ให้ความสำคัญของครอบครัวที่สมบูรณ์ว่าต้องประกอบไปด้วยพ่อ, แม่และลูกเท่านั้น และบุคคลเหล่านี้ต้องให้ความรักและการดูแลทะนุถนอมซึ่งกันและกัน กระนั้นจากการที่พ่อและแม่ของพี่เอกได้แยกทางหย่าร้างกันตั้งแต่พี่เอกยังเป็นเด็กนั้นและครอบครัวที่แตกร้าว ผิดแปลกไปจากคุณค่าที่สังคมวางไว้ถึงความสมบูรณ์ของครอบครัวจึงกลายเป็นประเด็นพื้นฐานหลักที่สามารถชี้ให้เห็นได้ถึงกระบวนการที่ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งต้องตกอยู่ในภาวะชายขอบของสังคมไทยโดยวาทกรรมทางสังคมผ่านกระบวนการสร้างทางระบบคุณค่าหรือค่านิยมของสังคมที่มาจากศูนย์กลาง หรือกลุ่มคนส่วนใหญ่ได้นิยามและให้คุณค่าทางความหมายของสิ่งเหล่านี้เอาไว้
ดังนั้น “พี่เอก” จึงตกอยู่ในภาวะชายขอบของสังคมเนื่องจากเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ กล่าวคือพ่อและแม่ได้หย่าร้างแยกทางกันไปตั้งแต่พี่เขายังเด็ก ครอบครัวที่แตกร้าวนี้จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งเกิดมามีปมด้อยในสังคมจากความบกพร่องของครอบครัวที่สมบูรณ์อันเป็นระบบคุณค่าหรือค่านิยมที่สังคมได้วางไว้ ดังนั้น “พี่เอก” จึงเป็นชายขอบของสังคม
เพราะ… “ผมเรียนไม่จบ ม.6”
แม้ว่าในวัยเด็กพี่เอกจะได้รับการศึกษาเล่าเรียนเหมือนคนทั่วไปก็ตาม แต่กระนั้นเมื่อเข้าศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปลาย ซึ่งทุกคนที่อยู่ข้างเคียงที่คอยให้กำลังใจอย่างผู้ที่เป็นพ่อที่อยู่อาศัยด้วยกันจะสนับสนุนการศึกษาของลูกเพียงไรนั้นแต่ก็ไม่สามารถต้านทานความดื้อรั้นของลูกชายไว้ได้ เมื่อชีวิตมาถึงจุดหักเหต้องออกจากการเรียนไปเนื่องจากมีปัญหาต่างๆ ในช่วงที่กำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แต่กระนั้นแม้ว่าจะเรียนถึงในระดับนี้แต่ก็ได้วุฒิมาเพียงในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเท่านั้น เพราะไม่จบตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ภาครัฐหรือกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดไว้ กลับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้เขาผู้นี้ต้องกลายเป็นคนที่ไร้การศึกษา หรือคนส่วนใหญ่เรียกว่า “พวกเรียนไม่จบ” นั่นเอง คำๆ นี้บาดลึกถึงจิตใจของชายผู้นี้จนเป็นเสมือนจุดด้อยของชีวิตอันเกิดขึ้นมาจากการที่ตนสร้างขึ้นมาเองจนไร้การเยียวยาเพราะความไม่สนใจที่จะขวักไขว่หรือไขว่คว้ามันมา
เพราะการไม่เห็นคุณค่าของการศึกษาของตัวพี่เอกเองจึงเป็นเสมือนปมด้อยที่สังคมตีตราหรือให้คำนิยามทางระบบคุณค่าหรือชื่อเรียกโดยทั่วไปเหมารวมว่า “ไอ้พวกไม่เอาไหน, เลว, เกเร, ไอ้พวกจัญไร, หนักแผ่นดิน ฯลฯ” ซึ่งจากคำดังกล่าวนี้เป็นเสมือนการเรียกหรือให้คำนิยามเชิงคุณค่าทางสังคมที่สามารถผลักดันให้คนที่ไม่มีการศึกษาทั้งหมดรวมถึงกรณีพี่เอกว่าเป็นกลุ่มคนที่สังคมไม่ต้องการหรือไม่ให้การยอมรับ ดังนั้น คนกลุ่มที่ไร้การศึกษากลุ่มนี้จึงขาดที่ว่างที่สามารถจะยืนตั้งมั่นในสังคมได้เฉกเช่นคนอื่นทั่วๆ ไปที่เพียบพร้อมไปด้วยการศึกษา
นอกจากนั้นการศึกษาในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่ออกโดยภาครัฐนั้นเป็นตัวผลักดันสำคัญที่ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่สามารถประกอบอาชีพที่สูงส่งมีเกียรติมีศักดิ์ศรีในสังคมได้เลย เพราะการไม่มีวิชาความรู้จึงทำได้เพียงหนุ่มสาวโรงงาน หรือแม้กระทั่งเด็กเสิร์ฟ ซึ่งถึงแม้ว่าอาชีพเหล่านี้จะเป็นอาชีพที่สุจริตอาชีพหนึ่งก็ตาม แต่สภาพสังคมที่ก้าวตามกระแสยุคโลกาภิวัฒน์นั้นเป็นตัวการสำคัญที่ไม่สามารถทำให้คนกลุ่มนี้ใช้เงินจากอาชีพเหล่านี้เพื่อเลี้ยงปากท้องของชีวิตให้อยู่รอดต่อไปในสังคมท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมายเหล่านี้ได้ จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ผลักดันให้คนกลุ่มนี้ต้องออกจากอาชีพหรือไม่ก็ต้องหางานเสริมงานอื่นทำไปด้วย
ดังนั้น การไม่ได้รับการศึกษาตามกระบวนการทางหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานตามการบรรจุไว้อย่างครบถ้วนจากภาครัฐหรือกระทรวงศึกษาธิการนั้น จึงทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มบุคคลแปลกแยกที่ไม่สามารถทำตามความต้องการของภาครัฐจากศูนย์กลางได้ จึงเป็นเสมือนกลุ่มบุคคลที่อยู่นอกระบบการให้การศึกษาที่ภาครัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องและเกิดความแปลกแยกทางจิตใจ ตลอดจนความแปลกแยกทางความคิดของผู้คนในสังคมจากการดูหมิ่นเหยียดหยาม หรือการมองกลุ่มคนกลุ่มนี้ที่ไม่มีการศึกษาว่าด้อยกว่า ต่ำกว่า เป็นต้น
กระนั้นกระบวนการต่างๆ เหล่านี้ จึงเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่ผลักดันให้กลุ่มคนประเภทนี้ที่ไม่มีการศึกษา ไม่มีความรู้ว่าเป็นบุคคลที่ไร้คุณภาพ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม จนไม่สามารถหาที่ว่างยืนต่อไปในสังคมได้ เพราะจะถูกกดขี่ดูหมิ่นเหยียดหยามไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มคนที่ไม่มีการศึกษาหรือเรียนไม่จบอย่างกรณีพี่เอกว่าเป็น “ชายขอบของสังคม” นั่นเอง
หรือนรกจะกลั่นแกล้ง? “พ่อแม่ล้มป่วย: อัมพฤกษ์ อัมพาต”
แม้ว่าพ่อและแม่จะหย่าร้างจากกันนั้น แต่กระนั้นจิตสำนึกของความเป็นลูกที่พึงมีอันเป็นสิ่งที่สังคมให้การยอมรับนั้นก็เป็นแรงผลักดันให้พี่เอกต้องต่อสู้ดินรนหางานทำและประกอบอาชีพต่างๆ เพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงปากท้องของผู้เป็นพ่อและแม่ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ด้วยตนเอง อันเนื่องมาจากภายหลังได้ล้มป่วยลง พ่อที่ตนอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันนั้นได้ป่วยเป็นโรคไตและต่อมประสาทเสื่อม ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ด้วยตนเองทำได้เพียงยกแขนและขาของตนเท่านั้น และในปัจจุบันต้องพักอาศัยอยู่บ้านเพียงลำพังในระหว่างที่พี่เอกต้องออกไปทำงาน เพราะปัญหาทางด้านสุขภาพร่างกายของพ่อที่รุมเร้าด้วยโรคนานาชนิดเป็นตัวการสำคัญที่ไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป ในส่วนของแม่ แม้ว่าจะอาศัยคนละสถานที่กันก็ตาม แต่หน้าที่ของความเป็นลูกที่ดีอีกเช่นกันที่ทำให้พี่เอกต้องให้ความสำคัญที่จะเลี้ยงดูเอาใจใส่ท่าน หากแต่ในด้านแม่ก็ประสบปัญหาด้านสุขภาพด้วยเช่นกัน เมื่อแม่ก็ล้มป่วยเป็นอัมพฤกษ์ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้จึงเป็นธรรมดาของสังขารชีวิต เมื่ออายุมาก ปัญหาต่างๆ ก็ตามมารุมเร้า แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ หากแต่ยังมีลูกผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเสมือนที่พึ่งของพ่อแม่ยามแก่เฒ่านั้น ด้วยหวังให้ลูกได้ดูแลและเลี้ยงดูและเป็นสิ่งที่ลูกพึงกระทำเพื่อตอบแทนบุพการีของตนเอง สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเสมือนคุณค่าหรือค่านิยมทางสังคมที่ให้ไว้แก่ลูกที่ดีของสังคมทุกคนนั่นเอง พี่เอกจึงจำเป็นต้องทำงานทุกรูปแบบเพื่อที่จะสามารถนำปัจจัยตรงส่วนนั้นมาใช้เพื่อเลี้ยงปากท้องของตนและครอบครัวเพื่อให้มีลมหายใจอยู่ในโลกนี้ได้ยาวนานยิ่งขึ้น
จากสภาวการณ์ดังกล่าวข้างต้นเป็นเสมือนรากฐานที่สามารถผลักดันทำให้พี่เอกตกอยู่ในภาวะทางชายขอบได้ด้วยเช่นกัน อันเป็นเพราะการไม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์ (พ่อแม่หย่าร้างกัน ) และนอกจากนั้นพ่อกับแม่ล้มป่วยเป็นโรคต่างๆ ไม่สามารถทำงานได้ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้สังคมได้ให้นิยามกลุ่มคนลักษณะดังกล่าวเป็นกลุ่มคนพิการ ไม่สมประกอบนั่นเอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้เป็นลูกอย่างพี่เอกให้ตกอยู่ในกระบวนการทางภาวะชายขอบของสังคม อันอาจถือได้ว่าเป็นกระบวนการภาวะชายขอบที่ซ้อนทับกันอยู่ อันเนื่องมาจากมีรากฐานปัจจัยหลายประการที่มีส่วนสำคัญผลักดันให้อยู่ในภาวะชายขอบของสังคม
โสเภณีที่รัก: สาเหตุของการประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ
พี่เอกเล่าให้ฟังถึงสาเหตุหลักๆ ที่พี่เข้าสู่วงการค้าประเวณีเหล่านี้เป็นเพราะภาวะของการตกงาน ไม่มีอาชีพที่พอจะทำเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม ซึ่งภาวะนี้อาจเป็นเพราะการศึกษาของตัวพี่เอกเองที่ได้วุฒิในขณะนี้เพียงระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 เท่านั้น ด้วยเหตุนี้อาชีพที่สามารถทำได้ก็มีจำกัดเมื่อเทียบกับบุคคลที่มีการศึกษาสูงกว่าในสังคม พี่เอกเล่าว่าอาชีพที่สามารถทำได้มีเพียงทำงานในโรงงานและเป็นเด็กเสิร์ฟตามร้านผับบาร์ต่างๆ เท่านั้น ความต้องการเงินเพื่อนำมาใช้หล่อเลี้ยงคนในครอบครัวตลอดจนปากท้องของตนเองจึงเป็นสาเหตุหลักและสำคัญมากที่พี่เขาต้องเปลี่ยนมุมของชีวิตมาอยู่ในด้านมืดของสังคมนั่นคือ การค้าประเวณีหรือที่เข้าใจในปัจจุบันว่าการขายบริการทางเพศนั่นเอง
“ถ้าถามพี่ว่าตอนนี้พี่ทำไปเพื่ออะไรพี่ก็ตอบได้เลยว่าทำไปเพื่อรายได้ แล้วถ้าถามว่าความสุขมีไหม ก็บอกได้เลยว่ามันไม่มีหรอก น้อยคนที่จะมีความสุข ส่วนเงินที่ได้จากการขายบริการตรงนี้ ถ้าถามว่าแต่ละเดือนได้เยอะไหม ตัวเลขมันก็เยอะนะ ประมาณเกือบ 30,000 บาทต่อเดือน แต่มันไม่เห็นตัวเงินเท่านั้นเอง แต่อย่างไรอาชีพนี้เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กเสิร์ฟที่เคยทำมา เหมือนรายได้จะตกต่ำกว่า ถ้าได้ก็มีกิน ถ้าไม่ได้ก็ไม่มีกิน แต่มันก็ไม่ค่อยมีเงินเก็บหรอกเพราะมันไม่ได้ทุกวัน อย่างทำวันนี้ไม่ได้ก็เอาเงินเมื่อวานมาใช้ พี่ไม่ได้เลี้ยงตัวเองคนเดียวนะ พี่ต้องเก็บเงินซื้อกับข้าววันละ 100 กว่าบาท และให้พ่อวันละ 100 แล้วค่ารถ ค่าเดินทางอีก แล้วกว่าเราจะได้แขกอีก เราต้องยืน คือเราก็ต้องใช้เงินนี้ไปวันๆ ”
วันแรกของการประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ
เมื่อห้าเดือนกว่าที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงระยะเริ่มแรกที่พี่เอกได้หันหน้าเข้าสู่วงการค้าขายบริการทางเพศเพื่อบำบัดความใคร่ให้กับลูกค้า พี่เอกเล่าให้ฟังว่าในช่วงระยะแรกที่เข้ามาทำงานตรงจุดนี้นั้น ไม่สามารถทำได้เลยต้องกลับบ้านทันทีเป็นเพราะลูกค้าโดยส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เป็นเกย์หรือพวกแอบโดยส่วนใหญ่ ซึ่งมีลักษณะผกผันกับความคิดก่อนที่จะเข้าสู่วงการค้าประเวณีด้วยความเชื่อหรือความเข้าใจของตนเองที่ว่า ลูกค้าส่วนใหญ่น่าจะเป็นผู้หญิง แม่ม่ายหรือสาวประเภทสอง แต่ความเชื่อหรือความเข้าใจเหล่านี้กลับตรงกันข้าม เพราะนั่นคือการที่พี่เขาต้องมาขายบริการทางเพศบำบัดความใคร่ให้กับลูกค้าเพศเดียวกันนั่นเอง
“เหมือนตอนแรกที่พี่มาทำอาทิตย์แรกพี่ทำไม่ได้เลยไง ก็เลยต้องกลับ คือตอนแรกพี่เจอรูปลักษณ์แบบเป็นแอบโดยส่วนใหญ่ เราก็ไม่มีอารมณ์ ซึ่งก่อนที่พี่จะมาทำอาชีพนี้พี่คิดว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการจะมีแต่ผู้หญิง พวกแม่ม่ายพวกนี้ แต่พอมาทำจริงๆ แล้วมันมีอีกรูปแบบหนึ่ง กลุ่มผู้ชายก็มี เกย์ก็มี กระเทยก็มี ผู้หญิงก็มี มีทุกอย่าง”
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าแม้ความคิดก่อนการประกอบอาชีพนี้กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะตรงกันข้ามกันก็ตาม แต่กระนั้นพี่เอกก็ไม่ได้ยกเลิกในการทำงานนี้ หากแต่ต้องฝืนใจตัวเองในการขายบริการทางเพศด้วยความจำยอมเพื่อให้ได้เงินมาเพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ เท่านั้น อีกทั้งปากท้องของคุณพ่อซึ่งล้มป่วยเป็นโรคไตและต่อมประสาทเสื่อมไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้นั้นได้ตกเป็นภาระของพี่เอกที่ต้องเลี้ยงดู-ดูแลในปัจจุบัน เห็นได้ว่าเขาไม่มีทางเลือกที่จะยืนหยัดอยู่ในสังคมได้มากเมื่อเทียบกับกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคม ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีความจำเป็นและต้องฝืนใจที่จะกระทำการค้าประเวณีเหล่านี้ด้วยความจำยอม เพียงเพราะต้องการเงินเท่านั้นเอง
ภาวะชายขอบที่ซ้อนทับ: จะทำอย่างไรเมื่อต้องขายตัวให้กับเพศเดียวกัน (ผู้ชาย) หรือเกย์ ?
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าพี่เอกไม่มีทางเลือกอื่นใดที่ดีกว่าการขายบริการทางเพศ ไม่มีทางเลือกอื่นใดที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้ได้มาซึ่งเงินทอง ด้วยเหตุนี้จึงต้องฝืนใจและจำยอมกับทุกสถานการณ์และทุกรูปแบบของผู้เข้ามาใช้บริการให้ได้ หากแต่มีข้อจำกัดอยู่ประการหนึ่งนั่นคือ พี่เอกสามารถเป็นได้เพียงฝ่ายกระทำ (Active) หรือในภาษากลุ่มค้าประเวณีที่ว่า “ฝ่ายรุก” เท่านั้นอันเนื่องมาจากปัจจัยพื้นฐานทางกายภาพของตัวพี่เอกเองที่เป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้การขายบริการทางเพศของพี่เอกจึงมีข้อจำกัดมากกว่ากลุ่มคนอื่นๆ นั่นคือเป็นฝ่ายกระทำหรือฝ่ายรุก (Active)ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้จะมีลักษณะตรงข้ามกับกลุ่มที่มีใจรักในผู้ชายหรือกลุ่มเกย์ที่พวกเขาเหล่านั้นสามารถเป็นได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกระทำหรือฝ่ายรุก (Active) หรือไม่ก็เป็นฝ่ายถูกกระทำที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฝ่ายรับ (Passive) และสุดท้ายกลุ่มคนที่สามารถเป็นได้ทั้งสองรูปแบบ
ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้จึงทำให้รายได้ที่พี่เอกได้รับก็ย่อมแตกต่างไปจากกลุ่มคนกลุ่มอื่นๆ ที่เขาสามารถกระทำการต่างๆ ได้มากกว่าตน แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่เขาจะเลิกประกอบอาชีพนี้ หากแต่เขายังคงดำเนินวิถีชีวิตแบบนี้ต่อไปตราบใดที่ยังคงต้องใช้สื่อกลางแลกเปลี่ยนในสังคมที่เรียกว่า “เงิน”
“ลักษณะหรือรูปแบบการขายบริการทางเพศนี้มันอยู่ที่คน เหมือนพี่ทำไม่ได้ทุกอย่าง ได้แต่รุกอย่างเดียว ไม่ได้ทุกอย่าง เราเป็นผู้ชาย เราไม่ใช่เกย์ ถ้าอย่างเกย์นี้เขาจะได้หมด ทั้งรุกทั้งรับ แต่ถ้าผู้ชายก็รุกอย่างเดียว เรารุกอย่างเดียว ไม่ได้รับจึงรายได้ไม่ค่อยได้เหมือนคนอื่นที่เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง แต่อย่างไรก็ตามถึงรายได้จะไม่เหมือนคนอื่นแต่สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้และสามารถทำต่อไปได้ก็เพราะทำไปเพื่อเงินเท่านั้น ”
การมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน (กลุ่มเกย์) นับได้ว่าเป็นกระบวนการหนึ่งที่ยิ่งทำให้พี่เอกตกอยู่ในภาวะชายขอบของสังคมมากขึ้น เป็นภาวะชายขอบที่ซ้อนทับกันอยู่นั่นคือประกอบอาชีพโสเภณีชาย ซึ่งเป็นอาชีพหนึ่งที่สังคมให้คุณค่าในด้านลบและมองว่าเป็นกลุ่มคนชายขอบของสังคมอยู่แล้วนั้น หากแต่เมื่อใดก็ตามที่พี่เอกต้องไปมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลซึ่งเป็นเพศเดียวกัน (เกย์) นั้นยิ่งผลักดันให้พี่เอกตกอยู่ในสภาวะชายขอบของสังคมมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเกย์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนประเภทที่สังคมให้คุณค่าในฐานะของ “ความเป็นอื่น” ที่ไม่ใช่รูปแบบของคนทั่วไป อันเป็นเพราะการที่สังคมให้การยอมรับว่ามนุษย์มีเพียง 2 เพศเท่านั้น คือชายและหญิง เมื่อใดที่พี่เอกต้องจำยอมมีความสัมพันธ์ทางเพศกับกลุ่มคนเหล่านี้ เสมือนหนึ่งยิ่งทำให้พี่เอกต้องตกอยู่ในภาวะชายขอบที่ซ้อนทับกันอยู่มากยิ่งขึ้น นั่นคือการประกอบอาชีพโสเภณีชาย และการไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับกลุ่มคนที่สังคมให้คุณค่าใน “ความเป็นอื่น” นั่นเอง
“เกย์” จึงเป็นกลุ่มทางสังคมอีกกลุ่มหนึ่งในความซับซ้อนของสังคมเมืองที่เป็นโลกของคนแปลกหน้า กลุ่มเกย์ถูกมองว่าเป็นกลุ่มอัตลักษณ์วัฒนธรรมเฉพาะที่มีการก่อรูปทางวัฒนธรรมของกลุ่มอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งภาพลักษณ์ของเกย์ที่เข้าไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับ “ผู้ชาย” เป็นภาพลักษณ์ที่อยู่ในกรอบลักษณะของ “โสเภณี” นั่นคือเป็นพวกที่ถูกเรียกว่า “ประหลาด” (queer), “ขายตัว” (trade) “ผู้หญิงบึกบึน” (butch ) “สาวไฟฟ้าแรงสูง” ( femme ) ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับผู้ชายได้ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ถูกลดคุณค่าของความเป็นคนสังคม กระทั่งสังคมได้มองกลุ่มคนเหล่านี้ว่าเป็นชายขอบของสังคม
แม้ภาพของกลุ่มอัตลักษณ์ทางเพศของเกย์นั้นยังคงเผชิญกับสังคมในระดับกว้าง ด้วยกรอบทางความคิดแบบโครงสร้างที่สังคมยึดว่าโลกนี้ถูกจำแนกไว้ด้วยเพศเพียงสองเพศ นั่นคือชายและหญิงเท่านั้น บุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติตามเพศดังกล่าวจะถูกกำหนดให้กลายเป็นคนชายขอบของเพศที่มีอยู่ทันที นั่นเป็นการมองกลุ่มคนเหล่านี้โดยใช้กรอบทัศนคติของการศึกษามนุษย์ที่ถูกจัดให้อยู่นอกกรอบของโครงสร้างอันเป็นระเบียบของสังคมว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่อยู่นอกมาตรฐานของสังคม เป็นพวกนอกระเบียบกฎเกณฑ์ เป็นพวกนอกศีลธรรม เป็นสิ่งสกปรก เป็นปีศาจ ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่คนดีของสังคมและในที่สุดพวกเขาเหล่านี้ก็ถูกจัดอยู่ในฐานะของ “คนชายขอบ” ที่ไม่มีโอกาสแม้จะอยู่ร่วมกันอย่างปกติกับกลุ่มคนอื่นๆ ทั่วไปในสังคม
นอกจากนั้น แม้ว่าพี่เอกจะมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันอย่างจำยอมก็ตามจึงเป็นเหตุให้พี่เอกต้องเลือกใช้วิธีการกินยากระตุ้นหลอดเลือดที่เรียกว่า VIAGRA ซึ่งพี่เขาบอกว่าจะมีขายอยู่ตามร้านขายยาโดยทั่วไป คุณสมบัติของตัวยาชนิดนี้นั้นสามารถที่จะทำให้หลอดเลือดขยายได้ อันเป็นเพราะการสูบฉีดเลือดที่ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญที่สามารถทำให้อวัยวะเพศของผู้ชายเกิดความแข็งตัวได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการกล่อมเกลาทางอารมณ์ให้มีความรู้สึกร่วมในการมีเพศสัมพันธ์แต่อย่างใด
“เวลามีอะไรกับเพศเดียวกัน บางทีเราก็ต้องใช้ยาช่วยนะ ยานี้ก็คือยาที่ทางการแพทย์เรียกว่าไวอกรา (VIAGRA) มันจะมีขายอยู่เม็ดละ 50 บาท ถ้าเป็นภาษาแพทย์ มันจะเป็นยาขยายหลอดเลือด อย่างของผู้ชายมันจะแข็งได้มันต้องมีเลือดสูบฉีด แต่ยาตัวนี้มันจะทำให้หลอดเลือดขยาย มันทำให้สูบฉีดง่ายขึ้น แข็งเร็วขึ้น คือต้องใช้ยาช่วยให้มันแข็ง เราจึงสามารถทำงานได้ ถ้าเราทำงานไม่ได้ เขาก็ไม่ให้เงิน”
นี่จึงเป็นอีกกรณีหนึ่งที่สามารถชี้ให้เห็นได้ถึงกระบวนการผลักดันให้มนุษย์ตกอยู่ในภาวะความเป็นชายขอบของสังคมผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ นั่นคือพวกเขาจำเป็นต้องใช้ยาดังกล่าว เพื่อความสมบูรณ์และประสบผลสำเร็จในการประกอบกามารมณ์อย่างฝืนใจและจำยอม อันจะส่งผลให้พวกเขาเหล่านี้ได้รับปัจจัยที่ต้องการมากที่สุดนั่นคือ “เงิน”
กระบวนการทำงานซื้อขายบริการทางเพศในย่านบริเวณพระราชวังสราญรมย์
จากการบอกเล่าของพี่เอกนั้นทำให้ทราบถึงกระบวนการทำงานว่ากว่าจะได้แขกซึ่งเป็นลูกค้าที่มาซื้อนั้นต้องยืนอยู่เป็นเวลายาวนาน พี่เอกเล่าว่าวิธีสังเกตรถของแขกหรือลูกค้าที่จะมาซื้อใช้บริการนั้นสามารถสังเกตได้ง่าย เพียงมองลักษณะการขับรถของแขกนั้นจะมีลักษณะที่ขับค่อนข้างช้า ชะลอไปอย่างช้าๆ และที่สำคัญรถจะขับชิดซ้ายตลอด ซึ่งแตกต่างจากรถที่ขับผ่านโดยทั่วไป
“วิธีการดูรถแขกก็ดูง่ายมาก คือรถแขกจะชิดซ้ายและชะลอ บางวันมาติดเป็นขบวนเลย แต่มันอยู่ที่ว่าเขาจะชอบแบบไหนไง ชอบสเปคแบบไหนไง”
นอกจากนั้น กระบวนการทำงานขายบริการทางเพศกลับพบว่าต้องหลบๆ ซ่อนๆ ตำรวจที่เข้ามาตรวจตรายามค่ำคืน แต่กระนั้นจากการสัมภาษณ์ทำให้ทราบว่าการลงพื้นที่ของตำรวจจะลงเป็นเวลา ไม่บ่อยหรือตลอด 24 ชั่วโมง และกลุ่มผู้ขายบริการเหล่านี้อย่างพี่เอกเองก็ทราบเวลาที่ตำรวจออกตรวจลงพื้นที่บริเวณที่เป็นจุดซื้อขายบริการทางเพศด้วยเช่นกัน พี่เอกเล่าว่าตำรวจจะลงพื้นที่เป็นสองช่วงเวลาด้วยกันคือประมาณสี่ทุ่มครึ่ง และอีกช่วงหนึ่งประมาณตีสองถึงตีสองครึ่ง ซึ่งเมื่อตำรวจลงพื้นที่บริเวณดังกล่าวนั้นพี่เอกต้องหนีหรือเดินทางไปในบริเวณอื่นที่อยู่ใกล้เคียง แต่ถึงแม้จะหนีหรือโยกย้ายไปยืนที่อื่นไม่ทัน บางวันอาจถูกจับในข้อหา “ชักชวน” และปรับเป็นเงินเพียง 100 บาท ซึ่งน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับข้อหาหรือคดีอื่นๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กระบวนการซื้อขายโสเภณีชายยังคงยืนหยัดอยู่ได้ เพราะนั่นทำให้เห็นถึงความอ่อนด้อยและขาดประสิทธิภาพของกฎหมายไทยที่มีลักษณะยืดหยุ่นมากจนเกินไป หรือความสั่นคลอนของกระบวนการยุติธรรมที่ยากแก่การแก้ไขปัญหาเหล่านี้
“เวลาตำรวจออกตรวจหรือลงพื้นที่ คือ เขาจับเป็นเวลา วันนึงเขาจะลงมาประมาณช่วงสี่ทุ่มครึ่ง แล้วก็ตีสองถึงตีสองครึ่ง วิธีการก็คือเราก็ย้ายไปยืนที่อื่นไง คือเขาจะมีสายตรวจ ถ้าเด็กเยอะคนเยอะ เขาก็จะจับเพราะตรงนั้นมันหน้าวังไง แต่ถ้ามีไม่กี่คนเขาก็อาจจะปรับ ทุกวันนี้เขาก็ปรับอยู่แต่พอปรับก็ปล่อยออกมา”
ในส่วนของกลุ่มลูกค้าหรือกลุ่มแขกที่มาซื้อบริการนั้น จากการได้ฟังคำบอกเล่าพบว่ารูปแบบของแขกหรือลูกค้าที่มาซื้อขายบริการทางเพศจะแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา กล่าวคือกลุ่มลูกค้าที่มาซื้อบริการพอจำแนกได้ดังต่อไปนี้
1. ช่วงค่ำประมาณสองหรือสามทุ่ม (20.00 น., 21.00 น.) ถึงประมาณห้าทุ่ม ( 23.00 น. ) นั้น ผู้ที่มาใช้บริการโดยส่วนใหญ่จะอยู่ในประเภทวัยทำงาน โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย ( เกย์ )วัยทำงานเข้ามาซื้อ
2. หลังช่วงเวลาตีสอง (02.00 น.) จนกระทั่งถึงตีสี่ (04.00 น.) ใกล้รุ้งเช้าก็จะเป็นกลุ่มสาวประเภทสอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่พบว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะออกมาเพื่อเที่ยวตามผับบาร์ยามค่ำคืน เสร็จสิ้นจากการเที่ยวหรือตามร้านผับบาร์เลิกก็จะเข้ามาใช้บริการตรงจุดนี้ต่อ
ซึ่งจากการสอบถามสัมภาษณ์พี่เอกนั้นทำให้ทราบเหตุผลที่พี่เขาสามารถที่จะยืนหยัดกับอาชีพนี้ได้ถึงปัจจุบันเป็นเพราะมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นสาวประเภทสอง ซึ่งรูปแบบหรือลักษณะบุคลิกจะใกล้เคียงกับความเป็นผู้หญิงมากที่สุด
“ที่พี่ทำได้ถึงทุกวันนี้ ก็เพราะพี่มาเจอสาวประเภทสองบ้าง ผู้หญิงบ้าง ก็เลยรู้ว่ามันไม่ได้มีแบบนั้นแบบเดียว มันก็มีหลายแบบ อยู่ที่ว่าวันนั้นเราจะเจอแบบไหน ก็เลยทำมาได้ถึงทุกวันนี้ส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้านี้ จะมีเป็นช่วงเวลาอยู่ 2 ช่วง ก็คือช่วงหัวค่ำถึงประมาณห้าทุ่ม จะเป็นพวกคนทำงานแต่แอบ มีทุกแบบ อีกช่วงถ้าหลังตีสองตีสามไปแล้วก็จะเป็นสาวประเภทสอง คือเขาจะมาเที่ยวเพราะตามผับตามเทคเลิกกันก็ประมาณตีสี่ครึ่งที่รัชดาเลิก
ผู้หญิงเด็กสุดที่เจอ เขาไม่ได้มาเที่ยว แต่คือแบบว่าลูกค้าพาไปคือ เขาอยู่ที่บ้านลูกค้า แล้วลูกค้าขับรถมาจอดพามา แล้วถามว่าน้องเป็นผู้ชายไหม? พี่ก็ตอบว่าเป็นผู้ชายครับ แล้วเขาก็ถามต่อว่ามีอะไรกับผู้หญิงได้ไหม พี่ก็บอกว่าได้ครับ แล้วเขาก็พาไปที่ห้องเขา แล้วก็มีผู้หญิงอยู่แล้วบ้างที่ห้องเขา ก็คือแบบว่าไปมีอะไรกับผู้หญิงให้ผู้ชายคนนั้นดู ประมาณนั้น คือผู้หญิงคนนี้เหมือนเป็นแฟนกับผู้ชายคนนั้นอยู่แล้วด้วย แต่อย่างว่าคือเขาชอบสนุก แล้วก็อย่างอีกกรณีหนึ่งมีคนอายุ 40 กว่า เขาเปิดกระจกรถมาแล้วบอกว่ามีอะไรกับแฟนพี่ได้ไหม แล้วก็ไปโรงแรม ไปมีอะไรกับแฟนเขาให้เขาดู”
จากลักษณะดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงประเภทกลุ่มของลูกค้าที่จะออกมาใช้บริการในแต่ละช่วงเวลา และตัวอย่างการมาใช้บริการทางเพศในรูปแบบต่างๆ ของลูกค้า หากแต่เมื่อพิจารณาหรือเข้าไปมีส่วนร่วมกับวงการอาชีพเหล่านี้อย่างแท้จริงกลับพบว่ายังมีอะไรที่มีความหลากหลายกว่านี้อยู่ค่อนข้างมาก เพราะแต่ละกลุ่มคนที่เข้ามาใช้บริการล้วนมีความหลากหลายแตกต่างกันไป
นอกจากนี้ขั้นตอนการปฏิบัติกามารมณ์หรือบำบัดความใคร่ให้กับลูกค้าก็เป็นไปในลักษณะของการมีเพศสัมพันธ์ทั่วไปซึ่งแตกต่างเพียงเพศของผู้เข้ามาใช้บริการเท่านั้น กล่าวคือหากเป็นเพศหญิงก็ร่วมเพศกันตามปกติของสัตว์มนุษย์ และอีกรูปแบบคือหากเป็นผู้ชายการร่วมเพศจะต้องใช้อวัยวะอื่นช่วยนั่นคือก้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขั้นตอนในการปฏิบัติของพี่เอกก็เป็นได้เพียงฝ่ายกระทำ (Active) หรือในศัพท์โสเภณีที่เรียกว่า ฝ่ายรุก ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้รูปแบบการปฏิบัติของพี่เอกจึงเป็นไปตามปกติในความเป็นผู้ชาย
“ขั้นตอนการประกอบอาชีพของพี่ก็มีเพศสัมพันธ์กันแบบทั่วไป ก็มีบางรายที่พอไปถึงโรงแรมเขาก็ชวนกินเบียร์ กินไรก่อน คุยกันไปแล้วก็ลงมือ อีกแบบก็คือถ้าไม่กินเหล้าก็อาบน้ำและก็ลงมือทำเลย หรือไม่ก็คุยกันก่อนสักพักนึง”
นอกจากนั้น กระบวนการทำงานซื้อขายบริการทางเพศนี้ก็ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถได้ลูกค้าหรือแขกที่เข้ามาซื้อขายบริการทุกวัน หากแต่บางวันแม้จะออกมาเร็วด้วยความหวังที่ว่าจะได้แขกหรือลูกค้าเร็ว สักสองถึงสามรายเพื่อที่จะได้กลับบ้านเร็วขึ้น แต่โชคชะตากลับพลิกผันเพราะบางวันกลับไม่มีแขกหรือลูกค้ามาซื้อบริการเลย หรืออีกเหตุการณ์หนึ่งนั่นคือปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่เราไม่สามารถไปควบคุมมันได้นั่นคือช่วงฝนตก พี่เอกเล่าให้ฟังว่าวันไหนที่ฝนตกก็ต้องเตรียมใจได้เลยว่ารายได้ในวันนั้นจะไม่มี แต่บางวันพี่เอกก็รอจนฝนหยุดแล้วออกไปยืนตามปกติตรงจุดเดิม แต่หากดูแนวโน้มว่าฝนคงไม่หยุด พี่เอกเล่าว่าวันนั้นก็ต้องกลับบ้านไปเลยโดยไม่มีเงินที่เป็นรายได้แม้สักบาท แต่อย่างไรก็ตาม ระบบการหมุนเวียนเงินของพี่เอกนั้นจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาโดยจะนำเงินเก็บเพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้จากวันที่มีลูกค้ามาใช้บริการในวันที่ผ่านมาเพื่อนำมาใช้ทดแทนกับรายได้ที่ไม่ได้ในวันนั้น เพื่อเลี้ยงปากท้องของคนในครอบครัวอย่างพ่อผู้ที่ป่วยและไม่สามารถทำงานได้ ตลอดจนปากท้องของตัวเองเพื่อความอยู่รอดไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น
ภายหลังเสร็จสิ้นกามารมณ์ แล้วไงต่อ?
พี่เอกเล่าให้ฟังว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับลูกค้ามีบางรายเท่านั้น แต่โดยส่วนใหญ่แล้วนั้นพี่เอกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะด้วยพื้นฐานของการพบเจอนั้น ไม่ได้มีมิติที่ผูกพันกับความรัก ความเข้าใจ จริงใจกัน หากแต่มาซื้อบริการเพื่อบำบัดความใคร่ที่มีอยู่ของตนเองเท่านั้น แต่กระนั้นก็มีบางรายถึงกับชักชวนพี่เอกไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน พาไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือไปดูหนัง ฟังเพลง รับประทานอะไรด้วยกันในวันว่าง ซึ่งพี่เอกก็พร้อมและยินดีไปด้วยกันกับเขา นอกจากนั้นมีบางรายถึงกับซื้อสิ่งของต่างๆ ให้ใช้ อาทิ โทรศัพท์มือถือ, นาฬิกา เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นเสมือนผลพลอยได้หนึ่งที่ได้รับจากลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งไม่ได้มีความผูกพันอยู่กับพฤติกรรมและอารมณ์ทางเพศเพียงอย่างเดียว
“ภายหลังก็มีติดต่อกันบ้างก็คือให้เบอร์กันไว้ ตอนนี้ติดต่ออยู่เป็นบางคน พี่เคยได้โทรศัพท์เครื่องนึงและนาฬิกาเรือนนึงจากลูกค้า แล้วมีอีกรายที่พี่เคยไปอยู่ด้วยกันกับเขา พี่ไปอยู่ที่ใต้ที่นครศรีธรรมราชมาเดือนกว่า พอดีว่าเขาขับรถมาซื้อของที่ปากคลองบ่อย บ้านเขาเป็นร้านจัดดอกไม้ เขาเป็นสาวประเภทสอง แต่ตอนหลังรู้สึกเบื่อ ขอกลับ เขาก็ให้กลับ”
แนวโน้มการซื้อขายบริการทางเพศของกลุ่มโสเภณีชาย
แนวโน้มในอนาคตจากคำบอกเล่าของพี่เอกนั้น ทำให้ทราบว่ากระบวนการทำงานของอาชีพนี้น่าจะมีแนวโน้มลดลง เพราะปัจจุบันก็ลดน้อยลงกว่าเมื่อก่อนแล้ว ซึ่งพี่เอกได้ให้ทรรศนะว่าปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้การขายบริการทางเพศเหล่านี้ลดลงเป็นเพราะการที่ตำรวจเข้ามาจับกุมโดยตรวจฉี่ค้นหายาเสพติดในตัววัยรุ่นที่ให้บริการ ซึ่งเมื่
ที่มา
This is wonderful website
ตอบลบQassim & QU