วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

เกษตรพันธะสัญญา

เกษตรพันธะสัญญา: ทศพล ทรรศนกุลพันธ์

Filed under : INTEGRATED SCIENCE > SOCIAL SCIENCE
“บรรษัทมีเป้าหมายอยู่ที่การแสวงหากำไรเข้าตัวให้มากที่สุด โดยที่รัฐก็มีความสัมพันธ์กับบรรษัทในฐานะผู้มีหน้าที่ส่งเสริมการประกอบการหรือมีการอุปถัมภ์ค้ำชูกันทั้งในระดับนักการเมืองและข้าราชการประจำ ส่วนเกษตรกรก็กำลังแสวงหาวิธีการพาตัวเองออกจากความยากจนที่ต้องเผชิญอยู่”

บ่วงบาศพิฆาตเกษตรกร 

ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เกษตรกรต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมฐานทรัพยากรที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับวิถีการผลิตของตนมานับหมื่นปี อย่างไรก็ดีเกษตรกรทั้งหลายก็ได้พัฒนาระบบการผลิตและวิถีชีวิตของตนและกลุ่มให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่ย่อมปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
เกษตรกรรมสมัยใหม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการผลิตเพื่อขายออกสู่ตลาด ซึ่งผลิตผลทางการเกษตรจะมีตัวกลางในการควบคุมการซื้อขาย รวมถึงขยับขยายมาควบคุมปัจจัยการผลิตทางการเกษตรมากขึ้น โดยปัจจุบันตัวกลางที่ว่าอยู่ในรูปแบบของ “บรรษัทธุรกิจการเกษตร” ที่มีอยู่ไม่กี่บริษัทและเป็นที่รู้จักดีทั้งในระดับรัฐและระดับโลก
บรรษัทธุรกิจการเกษตรเหล่านี้ได้ร่วมมือกับภาครัฐสร้างข้อมูล โฆษณาประชาสัมพันธ์ บทบาทของตนในการหยิบยื่นสิ่งที่เรียกว่า “ระบบเกษตรพันธสัญญา” หรือ “Contract Farming” ให้กับเกษตรกรทั้งหลายเพื่อสร้างหลักประกันที่มั่นคงว่า เมื่อเกษตรกรเข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจกับทางบริษัทแล้วจะมีการนำปัจจัยการผลิตมาให้ รวมถึงมีการรับซื้อผลผลิตคืน เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการผลิต โดยข้อตกลงที่เกิดขึ้นอยู่ในรูปแบบสัญญา “ลายลักษณ์อักษร” และ “สัญญาใจ” ไม่มีลายลักษณ์อักษร แต่ความคาดหวังของเกษตรกรจะเป็นจริงอย่างที่บริษัทโฆษณาจริงกระนั้นหรือ
งานวิจัยที่ได้ลงพื้นที่คลุกคลีกับเกษตรกรในหลายกลุ่ม อาทิ ผู้เลี้ยงไก่เนื้อ ผู้เลี้ยงหมู ผู้เลี้ยงปลาในกระชัง ชาวไร่อ้อย ชาวไร่ข้าวโพด ฯลฯ พบข้อสรุปซ้ำซากที่เกิดคล้ายๆกันระหว่างกลุ่มเกษตรกรในระบบพันธสัญญา คือ เกษตรกรตกอยู่ในภาวะ มีหนี้สินล้นพ้น เครียดวิตกจริต อยากจะเลิกแต่เลิกไม่ได้ และตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง และไร้อำนาจในการต่อรองเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ เนื่องจากเมื่อเข้าร่วมระบบพันธสัญญานั้น ตนได้ตกอยู่ในภาวะ “ไร้ญาติ” ขาดความสัมพันธ์กับญาติสนิทมิตรสหายที่เคยติดต่อไปมาหาสู่กันเมื่อครั้งทำการเกษตรแบบเดิม เมื่อเกิดปัญหาก็เหลือเพียง “ตัวเอง” กับ “บรรษัท” เท่ากับว่าตนต้องมีความสัมพันธ์กับบรรษัทบนพื้นฐานของอำนาจต่อรองที่ไม่เท่าเทียมกัน และไม่มีแนวร่วม
สาเหตุที่เกษตรกรเข้าไปติดกับและออกจากวงจรไม่ได้นั้นเกิดจากกระบวนการที่มีการวางแผนและสมคบกันอย่างเป็นระบบระหว่างรัฐกับทุน โดยในบางกรณีรัฐก็มีส่วนอย่างสำคัญในการทำให้เกษตรกรเข้าไปอยู่ในระบบ หรือบางกรณีรัฐก็ไม่ทำหน้าที่คนกลางหรือผู้ปกป้องสิทธิของประชาชน ทำให้ประชาชนต้องเผชิญหน้ากับปัญหาความไม่เป็นธรรมโดยลำพัง กระบวนการดังกล่าวสามารถอธิบายด้วยผลการศึกษาเรื่อง “บ่วงบาศผูกขาดชีวิตเกษตรกร” ที่ปรากฏในรูป ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นบ่วงบาศที่เกี่ยวรัดกระหวัดให้เกษตรกรดิ้นไม่รอดและล้มหายตายไปในอ้อมกอดอำมหิตดังกล่าว
ณ จุดเริ่มต้นของเรื่อง บรรษัทมีเป้าหมายอยู่ที่การแสวงหากำไรเข้าตัวให้มากที่สุด โดยที่รัฐก็มีความสัมพันธ์กับบรรษัทในฐานะผู้มีหน้าที่ส่งเสริมการประกอบการหรือมีการอุปถัมภ์ค้ำชูกันทั้งในระดับนักการเมืองและข้าราชการประจำ ส่วนเกษตรกรก็กำลังแสวงหาวิธีการพาตัวเองออกจากความยากจนที่ต้องเผชิญอยู่
บรรษัทเล็งเห็นว่าหากตนจะสร้างผลกำไรได้มากที่สุดจะต้องมีการผูกขาดความสามารถในการผลิตมาอยู่ที่ตัวเอง จึงได้พยายามอย่างมากในการครอบครองปัจจัยการผลิตทางการเกษตรไม่ว่าจะเป็น พันธุกรรมพืชและสัตว์ ในรูปตัวอ่อนสัตว์และเมล็ดพันธุ์พืช หรือแม้กระทั่งการถือครองที่ดิน โดยที่ภาครัฐก็มิได้มีการสงวนอนุรักษ์ปัจจัยการผลิตเหล่านั้นให้เกษตรกร และเกษตรกรเองก็อยู่ในภาวะยากจน มีหนี้สิน ไม่มีปัจจัยการผลิตเป็นของตัวเอง ทั้งที่ดิน พันธุ์พืชและสัตว์ ปุ๋ย ยา ฯลฯ  หากเกษตรกรต้องการจะผลิตก็ต้องเข้ามาหาทุนที่ถือครองปัจจัยการผลิตเหล่านี้
เมื่อดูถึงเหตุผลในการตัดสินใจเลือกเข้าสู่ระบบเกษตรพันธสัญญา ก็จะเห็นปริมาณข้อมูลสนับสนุนด้านดีของเกษตรพันธสัญญาที่บรรษัทโหมประชาสัมพันธ์ และจัดจ้างให้มีการทำวิจัยสนับสนุนอย่างมากมายมหาศาล   และรัฐเองก็มีเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ภายใต้การครอบงำด้วยข้อมูลเหล่านั้น หรือบางกรณีรัฐเองก็เข้ามาส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าสู่ระบบพันธสัญญา โดยที่เกษตรกรมีข้อมูลเท่าทันสถานการณ์น้อยมากเนื่องจากในสื่อต่างๆ รวมถึงข้อมูลจากรัฐ มีแต่ด้านดีไม่มีด้านลบของเกษตรพันธสัญญา
เกษตรกรจึงเลือกเข้าสู่ระบบพันธสัญญาบนพื้นฐานของคนเข้าไปขอร่วมระบบโดยมองว่าบรรษัทที่หยิบยื่นปัจจัยการผลิตมาให้ในระบบสินเชื่อเป็นผู้มีพระคุณกับตัวเอง หากบรรษัทจะกำหนดข้อสัญญาอย่างไรก็ให้เป็นตามที่บรรษัทเห็นควร หรือบางกรณีถึงขนาดไม่มีหนังสือสัญญาให้เกษตรกรถือไว้ โดยภาครัฐไม่ได้เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบข้อสัญญาที่เกิดขึ้นว่ามีความเป็นธรรมหรือไม่ ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

ผู้ชายหน้าวัง (สราญรมย์)

ก่อนที่จะมาทำอาชีพนี้พี่คิดว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการจะมีแต่ผู้หญิง พวกแม่ม่ายพวกนี้ แต่พอมาทำจริงๆ แล้วมันมีอีกรูปแบบหนึ่ง กลุ่มผู้ชายก็มี เกย์ก็มี กระเทยก็มี ผู้หญิงก็มี มีทุกอย่าง
ผู้ชายหน้าวัง (สราญรมย์): โสเภณีชายคู่โลก โศลกแห่งชีวิต (มืด) เศษซากชีวิตทางสังคมผ่านภาพสะท้อนของ พี่เอกนามสมมติ: หนึ่งในโสเภณีชายหน้าวังฯ

นายปุญญวันต์  จิตประคอง
นิสิตระดับปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ก่อนอื่นต้องบอกว่าการเขียนงานชิ้นนี้ขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะผู้เขียนต้องลงสัมผัสกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น งานเขียนที่ผู้อ่านกำลังอ่านอยู่ตอนนี้นั้นเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นของการวิจัยเกี่ยวกับกลุ่มคนชายขอบเมือง ซึ่งผู้เขียนได้ใช้เวลาศึกษาวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อครั้งศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หากแต่ปัจจุบันเพิ่งกำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การนำผลงานการวิจัยในครั้งนั้นกลับขึ้นมาเรียบเรียงเป็นบทความอีกครั้งก็เพราะกระแสความต้องการอยากจะอ่านโดยเฉพาะมิตรสหายใกล้ตัวผู้เขียน และที่สำคัญผู้เขียนคิดว่าบทความชิ้นนี้น่าจะนำมาเผยแพร่เป็นกรณีศึกษาผ่านผู้ขายบริการนามสมมติ อันจะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพสะท้อนทางสังคมไทยที่เกิดขึ้นจริงในเมืองหลวงนามว่ากรุงเทพมหานครซึ่งมีอยู่จริง แม้ในปัจจุบันก็สามารถพบเห็นได้ ผู้เขียนไม่ได้ต้องการมาตีแผ่ให้เห็นมุมมืดของสังคมไทย หากแต่จะเป็นอะไรไหมที่เราคนไทยควรเข้ามาร่วมมือร่วมใจแก้ไขปัญหาโดยการช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ รัฐบาลปัจจุบันควรตื่นตัวได้แล้วหรือยังต่อการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ฉะนั้นบทความชิ้นนี้ไม่ได้ต้องการวิพากษ์วิจารณ์สังคม แต่ต้องการให้สังคมสนใจ ยอมรับและพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อให้จำนวนกลุ่มคนเหล่านี้ลดลงเท่าที่จะเป็นไปได้
ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรกว่า 60  ล้านคน ความแตกต่างระหว่างประชากรกลุ่มต่างๆ จึงมีมาก เมื่อกล่าวถึง โสเภณีชายหลายคนอาจจะไม่รู้จัก ไม่เคยคิดว่ามี หรือหากรู้จักพวกเขาเหล่านี้บ้าง ก็มักจะให้นิยามหรือไปตราคนกลุ่มนี้ในด้านลบ เกิดความคิดในทางที่ไม่ดีแก่ผู้ขายบริการทางเพศ โสเภณีชายก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ถือกำเนิดและดำรงอยู่ในมุมหนึ่งของสังคม และในฐานะสมาชิกทางสังคมเช่นบุคคลอื่นทั่วๆ ไป แต่กระนั้นภาพของการที่บุคคลโดยทั่วไปในสังคมมักมองกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพนี้ว่าเป็นผู้เบี่ยงเบนทางสังคมเพราะผู้ที่ประกอบอาชีพขายบริการทางเพศนั้นปัจจุบันได้กลายเป็นชนกลุ่มชายขอบทางสังคมไปเสียแล้ว อันเนื่องมาจากการกระทำหรือรูปแบบของการประกอบอาชีพมีลักษณะหรือรูปแบบที่แตกต่างจากอาชีพอื่นๆ ทั่วไป เพราะนั่นคือการประกอบอาชีพโดยใช้ร่างกายเข้าแลก เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยสำคัญก็คือเงิน อันเป็นปัจจัยหลักที่สามารถทำให้พวกเขาอยู่รอดไปวันๆ ในสังคมโลกใบนี้ท่ามกลางสิ่งที่เรียกว่า โลกาภิวัตน์

แรงงานไทยในมุมมองศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา

Filed under : SOCIAL SCIENCE
กลไกของการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ จริงๆ แล้วเป้าหมายอยู่ที่คนงาน เขาเอาประเด็นทางสังคมเป็นตัวตั้ง เขาไม่ได้เอาประโยชน์ของอุตสาหกรรมเป็นตัวตั้ง แต่ตอนนี้เหมือนกับเราทำให้มีการกดค่าจ้างต่ำในบางจังหวัด เพื่อทำให้อุตสาหกรรมย้ายไปลงในพื้นที่นั้น แต่นั่นไม่ใช่หลักการค่าจ้างขั้นต่ำแรงงานไทยในมุมมองศักดินาบทสัมภาษณ์ว่าด้วยเรื่องค่าแรงและสถานภาพของแรงงานไทยกับศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จุดประกาย หน้า 1 อังคารที่ 2 สิงหาคม 2554
อนันต์ ลือประดิษฐ์
เรื่องสถานภาพของแรงงานไทยในเวลานี้เป็นอย่างไร  เรามีประวัติศาสตร์ มีพัฒนาการที่ยาวนาน แต่เหมือนกับคนงานยังได้ส่วนแบ่งจากการพัฒนาของอุตสาหกรรมน้อยเกินไป เพราะรัฐไทยหรือคนที่มีอำนาจ ไม่ใช่แรงงาน คนงานถูกกดไว้ ไม่มีอำนาจในการต่อรองเท่าไหร่ ดังนั้น การกำหนดนโยบายต่างๆ จึงเป็นไปในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายอุตสาหกรรมมากกว่าฝ่ายแรงงาน เวลาเราพัฒนาประเทศ พัฒนาอุตสาหกรรม จะมีฝ่ายนายทุนหรือผู้ประกอบการ กับอีกฝ่ายคือฝ่ายแรงงาน ที่ผ่านมา นโยบายรัฐจะค่อนไปทางปกป้องผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมมากเกินไป แล้วเอาคนงานเป็นส่วนของการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน กดค่าแรงเอาไว้ให้ต่ำเพราะแรงงานเป็นหนึ่งในต้นทุนการผลิตและโดยปรัชญา องค์กรธุรกิจก็ต้องแสวงหากำไรสูงสุด ?ก็จริงครับที่แรงงานเป็นต้นทุนการผลิต แต่แรงงานก็เป็นมนุษย์ด้วย เป็นเพื่อนร่วมสังคม และที่สำคัญเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม วันนี้เรามีคนงาน 37-38 ล้านคนผมว่าเราคงต้องเปลี่ยนพร้อมๆ กันหลายอย่าง เหมือนเราพัฒนาโดยไม่ได้คำนึงถึงคนส่วนใหญ่มายาวนาน และมันเกี่ยวข้องกับเรื่องความเป็นประชาธิปไตยในสังคมด้วย ประชาธิปไตยยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง เราก็ยังไม่ได้พัฒนาคน ประชาธิปไตยต้องให้คนเข้ามามีส่วนร่วม แต่กระบวนการตลอด 80 ปี เราไม่ได้ให้คนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น คนส่วนใหญ่ หรือผู้ใช้แรงงานก็ถูกละเลยไปกรอบการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา เราเอาใจคนส่วนน้อย ที่สำคัญที่สุดคือวัฒนธรรมทางการเมืองและความเชื่อ เราไม่ได้พยายามปรับเปลี่ยน ยังเป็นวัฒนธรรมแบบอุปถัมภ์ดั้งเดิม วัฒนธรรมที่ยอมรับความไม่เสมอภาคในสังคม ปล่อยให้ความไม่เสมอภาคดำรงอยู่ได้ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราไม่ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมแบบนี้ เขาก็จะถือว่าผู้ใช้แรงงานเป็นลูกจ้าง ส่วนผู้ประกอบการเป็นนายจ้าง คือมีความไม่เท่ากัน และความไม่เท่ากันคือธรรมชาติที่ยอมรับได้แต่ในสังคมสมัยใหม่ เราต้องเปลี่ยนกรอบคิดนี้ ต้องมองว่านายจ้างกับลูกจ้างคือหุ้นส่วนกัน ดังนั้นการจะแบ่งปันกันอย่างเป็นธรรม ก็ต้องปรึกษาหารือกัน ฝ่ายหนึ่งเอาทุนมาลง อีกฝ่ายหนึ่งเอาแรงของตัวเองมาลง แล้วจะแบ่งปันกันอย่างไร ถ้าปล่อยให้ฝ่ายหนึ่งกำหนด แน่นอนก็จะถูกดึงไปให้อีกฝ่ายหนึ่ง แต่ถ้าเราส่งเสริมให้เขามีการพูดคุย มีการแบ่งปันกันอย่างสมเหตุสมผล ก็จะมีการแบ่งปันกันอย่างเป็นธรรม ด้วยกรอบคิดนี้ ความเหลื่อมล้ำที่เราพูดถึงเป็นเรื่องจริง เพราะเราปล่อยให้คนส่วนหนึ่งเป็นคนตัดสินใจว่า ผลกำไรที่ว่าจะไปอยู่ตรงส่วนไหนเป็นเพราะโมเดลเศรษฐกิจไทยไม่ใช่สังคมนิยม ?ใช่ครับ คือเวลาเราพูดถึงสังคมนิยม คนจะมองไปที่จีนหรือโซเวียต แต่จริงๆ แล้ว สังคมนิยมมีหลากหลาย ในยุโรปมีระบบสังคมนิยมประชาธิปไตย มองว่าคนเท่ากันและแบ่งปันกัน สังคมนิยมคือการตัดสินใจแบบสังคม คือให้ประโยชน์มาตกอยู่ร่วมกันในสังคม ได้แบบวิน-วินหัวใจใหญ่ของเรื่องนี้ คือการปฏิรูปการศึกษา ในหลายประเทศจะมี civic education คือให้การศึกษาประชาชน เพื่อให้ประชาชนกลายเป็น พลเมืองคือคนที่รู้จักสิทธิ รู้จักหน้าที่ และรู้จักความรับผิดชอบต่อสังคม แต่กระบวนการนี้มันต้องมีการวางแผน ต้องมีหลักสูตร ต้องมีการทำอย่างจริงจัง เพราะคนเราเกิดมา เขายังไม่ได้เป็นพลเมือง เขาไม่รู้จักสิทธิ ไม่รู้หน้าที่ และไม่รู้จักความรับผิดชอบต่อสังคม ก็เป็นแค่ประชากร คุณต้องมีการจัดการศึกษาในแง่นี้ ทั้งในระบบและนอกระบบ ทำไปพร้อมๆ กัน เราถึงจะเปลี่ยนให้คนตระหนักในเรื่องนี้ได้ที่ผ่านมา มีการรวมตัวเมื่อใด แรงงานส่วนนี้มักถูกบีบให้ออก ?เพราะเราไม่ยอมรับสิทธิของคนงาน จริงๆ แล้ว มีสิทธิอยู่ 4 หมวด เป็นอนุสัญญาหลักว่าด้วยสิทธิของแรงงาน ถือเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน หมวดที่หนึ่งว่าด้วย การไม่ใช้แรงงานบังคับ สอง ไม่ใช้แรงงานเด็กแบบทารุณกรรม สามไม่เลือกปฏิบัติ และสี่ สิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรองร่วมของคนงานกับนายจ้าง ซึ่งในบ้านเรา เรื่องอื่นจะพูดกันมาก แต่ในเรื่องสิทธิการรวมตัวและเจรจาต่อรองร่วม ยังถูกปฏิเสธ เราเป็นประเทศที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่ยอมให้สัตยาบัน ฉบับที่ 87 และ 88 ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศที่เหลือเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นประเทศล้าหลัง หรือเป็นประเทศที่เป็นสหพันธรัฐ ที่แต่ละรัฐจะมีกฎหมายเฉพาะ และยากที่จะหาข้อตกลงร่วมกันได้คุณมองบทบาทของรัฐบาลกับการแก้ไขปัญหาเรื่องแรงงานอย่างไร รัฐบาลให้ความสนใจในเรื่องแรงงานค่อนข้างน้อย การเลือกตั้งครั้งนี้ ถือเป็นความประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งในประเทศไทย ที่มีการหยิบเอาประเด็นว่าด้วยค่าจ้างแรงงานมาใช้ในการหาเสียง ซึ่งน่าสนใจ และเป็นผลดีแก่ประเทศชาติ เพราะเราอยู่ในสังคมที่กดค่าแรงไว้ต่ำมายาวนานเราพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่มา 50 ปี หลังการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ส่งเสริมการลงทุนต่างๆ รักษาให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมการส่งออก โดยอาศัยแรงงานราคาถูก ดังนั้น การหยิบเอาเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำที่มีอัตราที่สูงขึ้นมาพูดถึง จึงเป็นนิมิตหมายอันดีที่เราจะได้ทบทวน เพราะประเทศที่พัฒนามายาวนาน เขาก็พัฒนาให้ประเทศเป็นอุตสาหกรรมที่มีทักษะ มีฝีมือ มีค่าจ้างสูง ถ้าเราต้องการรักษาให้ประเทศมีขีดการแข่งขันในระดับล่างต่อไปเรื่อยๆ คนงานก็จะต้องทุกข์ระทม  เรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ?ตามหลักการ เวลาเราคิดเรื่องนี้ เราต้องมองก่อนว่า เราเอาอะไรเป็นตัวตั้ง ถ้าเราเอาประโยชน์ของส่วนรวม ของประเทศชาติ ของคนส่วนใหญ่ก็ต้องตั้งเป็นเป้าไว้ว่าทำแล้วประเทศชาติจะได้ประโยชน์ เพราะคนงานเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม ถ้าคนงานมีค่าจ้างสูง แน่นอนว่าอำนาจการซื้อก็จะสูงขึ้น จะลดระบบเศรษฐกิจของเรา ที่พึ่งพิงการส่งออกมากเกินไป เราพึ่งพิงการส่งออกตั้ง 70 เปอร์เซนต์ ก็จะกลับมาที่ตลาดภายในประเทศ ทำให้เรามีเสถียรภาพมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจถ้าคิดแบบนี้รวมๆ แล้ว 10 กว่าปีนี้ อีกทั้งช่วงปี 40 เราไปเปลี่ยนการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแบบกระจาย ซึ่งทำให้เรามีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่แตกต่างกันถึง 32 อัตรา จากเมื่อก่อนมีเพียงแค่ 3 อัตรา คือกรุงเทพฯและปริมณฑล เมืองใหญ่ และเมืองที่เหลือเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้บางจังหวัดถูกกดไว้ต่ำมาก เช่นพะเยา 161 บาท  เมื่อจะขึ้นมา 300 บาท มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเจ้าของกิจการที่โน่น อันนี้คือเรื่องที่ต้องคุยต้องคิดกัน แต่ถ้าถามว่ามันมีความจำเป็นหรือยังที่เราจะขยับขึ้นมา จากประเทศที่เรามีค่าจ้างต่ำ มาเป็นประเทศที่ให้ความเป็นธรรมกับคนงาน ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำค่าจ้างขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้น จะจูงใจหรือมีผลกระทบต่อแรงงานข้ามชาติอย่างไรตอนนี้เรามีแรงงานข้ามชาติอยู่ในประเทศราว 4 ล้านคน คือมันไม่ใช่เหตุผลกัน การอพยพของแรงงานข้ามชาติเข้ามาในไทย ไม่ใช่เรื่องค่าจ้างอย่างเดียว แต่เป็นความต้องการของนายจ้างที่ต้องการจ้างแรงงานราคาถูก จริงๆ แล้ว หากมีการขึ้นเป็น 300 บาท ก็ต้องมีการบังคับกับแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติด้วย เพราะกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าเลือกปฏิบัติไม่ได้ ค่าจ่างขั้นต่ำบังคับใช้กับแรงงานทั้งหมด ไม่เลือกชาติภาษาอยู่แล้วในทางกลับกัน ถ้าต้องจ่ายแรงงานข้ามชาติ 300 บาท นายจ้างคงเลือกจ้างคนไทยมากกว่า เพราะคุยกันรู้เรื่องมากกว่า ดังนั้น ผมคิดว่ามันไม่ใช่เหตุผล แล้วหากเราดูอัตราการว่างงาน เรามีอัตราการว่างงานที่ต่ำมาก ราว 0.5 เปอร์เซนต์ เหมือนกับว่า เราไม่ว่างงาน แท้ที่จริงแล้ว เราขาดแคลนแรงงานด้วยซ้ำ และที่บอกว่า ถ้าขึ้นค่าแรงไปแล้ว คนจะตกงาน ก็อาจจะตกส่วนหนึ่ง แต่บางธุรกิจยังต้องการ เช่นที่ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังต้องการแรงงานเป็นแสนคนในอดีตตอนเราเปิดประเทศ และมีแรงงานรับจ้าง จีนเป็นแรงงานส่วนใหญ่ที่มีมากว่า 100 ปี การมีแรงงานข้ามชาติอยู่ในประเทศ ไม่ใช่เรื่องแปลกในสังคมไทย และต่อไป เมื่อเปิดประชาคมอาเซียน  การเคลื่อนย้ายของแรงงานจะมีเสรีมากยิ่งขึ้น เราจะต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้อย่างปฏิเสธได้ยาก เราจะต้องอยู่กับการเคลื่อนย้ายของแรงงาน หลังจากทุนเคลื่อนย้ายมาก่อนหน้านี้แล้วแล้วถ้าเราไม่ปรับค่าจ้างให้สูงขึ้น แรงงานไทยนี่แหละจะอพยพไปที่อื่น โดยเฉพาะแรงงานไทยที่มีฝีมือดี ก็จะอพยพไปยังที่ๆ เขาให้ค่าจ้างดีกว่าจากข้อถกเถียงเรื่อง 300 บาท มีใครบอกได้ไหมว่า อัตราค่าจ้างเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมพอดี  (นิ่ง) นั่นล่ะครับ เราไม่ได้ใช้วิธีการวิทยาศาสตร์ในการคำนวณกัน ที่จริงเรามีเกณฑ์คำนวณนะครับ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยได้ทำงานสำรวจคนงานว่า ถ้าเขาจะอยู่ได้ เขาควรจะได้รับเท่าไหร่ โดยไม่ต้องทำโอที เป็นลักษณะ 3 – 8 คือ ทำงาน 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8 ชั่วโมง และมีเวลาค้นคว้าหาความรู้อีก 8 ชั่วโมง เขาบอกว่าค่าจ้างที่จะทำให้คนงานอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีคือ 421 บาท อันนั้นคือการศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ดูค่าใช้จ่ายต่างๆ จากอัตราค่าครองชีพในเมืองไทย ผมอยากจะเรียนว่า เอาเข้าจริงๆ ค่าครองชีพในกรุงเทพ หรือต่างจังหวัด ไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไหร่  ราคาสินค้าในเซเวน-อีเลฟเวนก็ราคาเดียวกัน เผลอๆ ในต่างจังหวัดอาจจะแพงกว่าเพราะต้องบวกค่าขนส่ง ดังนั้น อัตราค่าจ้างขั้นต่ำแบบกระจาย ไปตามแต่ละจังหวัด และทำให้เรตค่าจ้างแตกต่างกันมาก มันเป็นการบิดเบือนความจริง  กลไกของการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ จริงๆ แล้วเป้าหมายอยู่ที่คนงาน เขาเอาประเด็นทางสังคมเป็นตัวตั้ง เขาไม่ได้เอาประโยชน์ของอุตสาหกรรมเป็นตัวตั้ง แต่ตอนนี้เหมือนกับเราทำให้มีการกดค่าจ้างต่ำในบางจังหวัด เพื่อทำให้อุตสาหกรรมย้ายไปลงในพื้นที่นั้น แต่นั่นไม่ใช่หลักการค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งในอนุสัญญาระหว่างประเทศมีการกำหนดไว้ชัดเจน ว่าค่าจ้างขั้นต่ำ หมายถึงค่าจ้างที่ดูแลคนงานและครอบครัวได้  เราพูดถึงการรวมตัวของแรงงานเพื่อเรียกร้องต่อรอง แต่คราวนี้เรื่องนโยบายค่าจ้างกลับออกมาจากฝ่ายการเมืองผมมองอย่างนี้ สาเหตุที่ทำให้พรรคการเมืองหันมาเล่นประเด็นนโยบายค่าจ้าง คงเริ่มจากรัฐบาลของนายกฯอภิสิทธิ์ ตอนที่เกิด hamburger crisis รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ทำโครงการเช็คช่วยชาติ 2 พันบาทที่แจกให้ผู้ประกันตน มันทำให้เห็นว่าเศรษฐกิจฟื้นขึ้นมาได้ เป็นการทดแทนอำนาจซื้อจากต่างประเทศ ทำให้ได้ข้อสรุปว่า ถ้าเราเพิ่มอำนาจซื้อให้คนทำมาหากิน เช่น ผู้ประกันตน คนทำงานระดับล่าง ก็ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้  ผมเข้าใจว่านี่คือข้อสรุปว่า เมื่อมีการเพิ่มค่าจ้าง ก็ทำให้อำนาจการซื้อในประเทศเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ ทำให้คุณอภิสิทธิ์ดึงเอาประเด็นนี้ขึ้นมา โดยกำหนดที่ 250 บาท ตอนหลังมาปรับเป็น 25 เปอร์เซนต์ภายใน 2 ปี ก็เท่ากับ 250 บาท อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้ได้รับการขานรับจากคนงาน คนงานส่งเสียงขานรับอันนี้ ทำให้พรรคการเมืองต่างๆ หยิบเอาประเด็นขึ้นมาเป็นนโยบายหาเสียง ซึ่งจะทำให้ได้รับการต้อนรับจากฝ่ายแรงงาน  หลายคนเป็นห่วงว่า ถึงจะได้ 300 บาท แต่รายได้ที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้นสักกี่มากน้อย หากข้าวของขยับราคาขึ้นตามไปด้วย  เป็นสิ่งที่กังวลครับ แต่รัฐบาลก็ต้องมีมาตรการ จะให้แรงงานมาแบกรับภาระไว้คนเดียว ก็ไม่สมควร ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐในการกำกับดูแล เรื่องเงินเฟ้อ ข้าวของขึ้นราคาอย่างมีเหตุผลหรือไม่ ซึ่งต้นทุนค่าแรง อย่างที่ อ.แล (ดิลกวิทยรัตน์) บอก มันมีตัวเลขที่ทำวิจัยไว้ สูงสุดต้นทุน 10 เปอร์เซนต์ บางอุตสาหกรรม 2-3 เปอร์เซนต์ อย่างที่ผมทราบมา อุตสาหกรรมยานยนต์ต้นทุนอยู่ที่ 2 เปอร์เซนต์เท่านั้นเอง อันนี้เป็นตัวเลขที่ผมได้มาจากแรงงานฝ่ายยานยนต์ ดังนั้น เมื่อปรับค่าจ้างขึ้นมา ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อต้นทุนอย่างขนานใหญ่ ก็ต้องมีมาตรอื่นๆ ที่ตามมา  ทีนี้ เวลาเราพูดถึงเรื่องค่าจ้าง มันไม่ได้หมายถึงค่าจ้างขั้นต่ำอย่างเดียว แต่บ้านเรา คนงานมีอำนาจในการต่อรองน้อย เพราะเขาไม่ยอมรับการรวมตัว ดังนั้น ค่าจ้างขั้นต่ำจึงสำคัญสำหรับคนงาน หลายโรงงาน ไม่ขึ้นค่าจ้างนะครับ ถ้าค่าจ้างขั้นต่ำไม่ปรับ เขาปรับตามค่าจ้างขั้นต่ำ ดังนั้น หากเราอยากจะพัฒนาเศรษฐกิจด้วยนโยบายค่าจ้าง หากเราจะส่งเสริมให้ค่าจ้างสูง เพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อ รัฐบาลก็ต้องดูทั้งระบบของค่าจ้าง โดยค่าจ้างขั้นต่ำเป็นส่วนหนึ่ง แต่มันยังมีค่าจ้างอื่นๆ เป็นค่าจ้างเหนือขึ้นไป โดยดูจากผลประกอบการ  คือค่าจ้างเป็นส่วนแบ่งมาจากผลประกอบการ ที่ผ่านมา มันถูกกำหนดโดยฝ่ายนายจ้าง  เพราะเขามีอำนาจในการตัดสินใจ ถ้าเราไปดูข้อตกลงร่วม ที่เรียกกันว่า collective bargaining ที่นายจ้างกับลูกจ้าง สูงสุดเมื่อปีที่แล้วมันอยู่ที่ 400 ฉบับ อันนี้เฉพาะแรงงานในระบบ ทั้งที่เรามีสถานประกอบการอยู่ที่ 390,000 แห่ง แต่มีแค่ 400 กว่าฉบับ นี่คือการแบ่งปันที่นายจ้าง-ลูกจ้างคุยกัน ส่วนที่เหลือนายจ้างเป็นคนกำหนด ถ้าเป็นแบบนี้ มันยากที่จะแบ่งปันผลประโยชน์ที่กระจายลงมา ที่สะท้อนความจริงว่าเขาทำงาน เขามี productivity ขนาดนี้ ก่อให้เกิดกำไรขึ้นมาขนาดนี้ แล้วจะแบ่งปันกันอย่างไร ตรงนี้เรายังไม่มีการพูดถึง และเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ช่องว่างระหว่างกลุ่มที่รวยกับกลุ่มที่จน เพราะเราไม่คิดเรื่องการแบ่งปันที่เป็นธรรม  ถ้าเราปล่อยไว้แบบนี้ ช่องว่างก็จะห่างขึ้น เพราะฝ่ายผู้ประกอบการมีอิสระอย่างเต็มที่ในการแสวงหากำไรสูงสุด ขณะที่คนงานมีอำนาจในการดึงจากผลประกอบการน้อยมาก ดังนั้น การจะไปสู่สังคมที่เป็นธรรม ควรจะใช้โอกาสนี้ที่กำลังมีการตื่นตัวเรื่องค่าจ้าง มาคุยกันถึงเรื่องที่เราจะทำให้มีการแบ่งปันกันอย่างเป็นธรรม ซึ่งมีหลายอย่าง เช่น การให้คนงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เรื่องการเจรจาต่อรอง ซึ่งในบ้านเราถือว่ากระบวนการนี้ยังน้อย ขณะที่ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในยุโรป เขาทำกันหมดแล้ว ในประเทศที่มีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนน้อย มาจากการที่เขายอมรับสิทธิในการรวมตัว และเจรจาต่อรอง  ในสแกนดิเนเวียมีสหภาพแรงงานเยอะ ประเทศที่ต่ำสุดคือประเทศที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรม คือนอร์เวย์มี 54 เปอร์เซนต์ คือมีคนงานเป็นสมาชิก 54 เปอร์เซนต์ของแรงงานทั้งหมด ต่ำสุดในกลุ่มนอร์ดิก ขณะที่บ้านเรามีเพียง 1.3 เปอร์เซนต์ ประมาณ 5 แสนคน ซึ่งไม่สามารถก่อให้เกิดอำนาจการต่อรองที่เป็นธรรม ซึ่งผลจากการสำรวจของคณะปฏิรูปของคุณอานันท์ (ปันยารชุน) ก็ระบุว่า สาเหตุจากความเหลื่อมล้ำ มาจากโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรม คนเล็กคนน้อยไม่มีอำนาจในการต่อรอง  ตั้งแต่ทำงานด้านแรงงานมา ส่วนตัวประทับใจในเรื่องใดบ้าง  คนที่ทำงานในแวดวงนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่อยากเห็นสังคมเป็นธรรม ส่วนใหญ่เป็นคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ สิ่งที่ประทับใจคือคนที่ลงมาทำงานเป็นคนที่มีจิตใจดี สหภาพแรงงานที่ผมทำงานด้วย ส่วนใหญ่เป็นคนเสียสละ ที่ทำด้วยความยากลำบาก อย่างคุณวิไลวรรณ แซ่เตีย แกทำโดยไม่เห็นแก่ความยากลำบาก ทั้งที่รายได้แกมากกว่าค่าจ้างขั้นต่ำนิดเดียว และยังเป็นพนักงานรายวันอยู่ ชีวิตลำบากอยู่แล้ว แต่ยังลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อให้คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ มีคนแบบนี้เยอะแยะ ผมคิดวาการได้ทำงานกับคนแบบนี้ถือเป็นเกียรติแก่ตัวเรา และรู้สึกมีความสุข  มองอนาคตแรงงานไทยอย่างไร เราผ่านยุคเข่นฆ่าผู้นำแรงงานมาแล้วใช่ไหม  เราคงผ่านยุคแบบนั้นมาแล้ว หวังว่าความป่าเถื่อนจะลดน้อยลง เราคงหนีไม่พ้นโลกในอนาคต ที่ลูกจ้างกับนายจ้างนั่งคุยบนโต๊ะเดียวกันได้ อย่างมีเหตุมีผล ทำงานร่วมกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร จะแบ่งอย่างไรถึงจะยุติธรรม วันหนึ่งเราคงไปถึงจุดนั้น แต่จะไปถึงจุดนั้น เราคงต้องต่อสู้ ต้องเปลี่ยนทัศนคติว่านายจ้างคือคนที่มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ ว่าเรายังไม่เชื่อในเรื่องการเป็นเพื่อนร่วมงานกัน เป็นหุ้นส่วนกัน.

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

ที่มาของขนมครกค่ะ

ตำนานขนมครก
ไอ้กะทิ หนุ่มน้อยแห่งดงมะพร้าวเตี้ย  แอบมีความรักกับ หนูแป้ง สาวสวยประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน  ทั้งคู่เจอกันวันลอยกระทง  และสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอยึดมั่นความรักแท้ที่มีต่อกันชั่วฟ้าดินสลาย
ไอ้กะทิ ก้มหน้าก้มตาเก็บหอมรอมริบหาเงินเพื่อมาสู่ขอลูกสาวจากผู้ใหญ่บ้าน แต่กลับถูกปฏิเสธแถมยังโดนผู้ใหญ่ส่งชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือมาลอบทำร้าย  แต่ไอ้กะทิก็ไม่ว่ากระไร  มันพาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้าน นอนหยอดน้ำข้าวต้มซะหลายวัน  แต่ใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาสู่ขอหนูแป้งใหม่จนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน 
แต่แล้วความฝันของไอ้กะทิ ก็พังพินาศเมื่อผู้ใหญ่ยก หนูแป้ง ลูกสาวคนสวยให้แต่งงานกับปลัดหนุ่มจากบางกอก  ไอ้กะทิ รู้ข่าวจึงรีบกระเสือกกระสนหมายจะมายับยั้งการแต่งงานครั้งนี้   ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็วางแผนป้องกันไว้แล้ว  โดยขุดหลุมพรางดักรอไว้ แต่แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายเสียก่อน จึงลอบหนีออกมาหมายจะห้ามหนุ่มคนรักไม่ให้ตกหลุมพราง 
คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม หนูแป้งวิ่งฝ่าความมืดออกมาเพื่อดักหน้าไอ้กะทิ   ไอ้กะทิเห็นหนูแป้งวิ่งมาก็ดีใจทั้งคู่รีบวิ่งเข้าหากัน  ฉับพลัน!!...ร่างของหนูแป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ฯผู้เป็นพ่อ  ต่อหน้าต่อตาไอ้กะทิ  อารามตกใจนายกะทิก็รีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือหนูแป้ง  อารามดีใจสมุนชายฉกรรจ์ของผู้ใหญ่บ้านซึ่งแอบซุ่มอยู่   ก็รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบหลุมที่ทั้งคู่หล่นลงไป  เพราะคิดว่าในหลุมมีเพียงไอ้กะทิผู้เดียว ... 
รุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้านสั่งให้ขุดหลุมเพื่อดูผลงาน  แทบไม่เชื่อสายตาเบื้องล่างปรากฏร่างของ ไอ้กะทิตระกองกอดทับร่างหนูแป้งลูกสาวของตน  ทั้งสองนอนตายคู่กันอย่างมีความสุข  เมื่อรอยยิ้มถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตา  ผู้ใหญ่บ้านรำพึงต่อหน้าศพของลูกสาวว่า..
"พ่อไม่น่าคิดทำลายความรักของลูกเลย"
ตั้งแต่นั้นมาอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของไอ้กะทิ กับ แม่แป้ง ก็จะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้ง และกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม  พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่า "จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป"  ขนมนี้จึงถูกเรียกขานกันในนาม "ขนมแห่งความรัก" หรือ ขนม คน-รัก-กัน ต่อมาถูกเรียกย่อ ๆ ว่า 'ขนม ค-ร-ก' นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

ครูดีในดวงใจ

“เพียงแต่สอนนั้นไซร้  ไม่ลำบาก  แต่เป็นครูนั้นซิยากเป็นหนักหนา  เพราะต้องใช้ศิลปวิทยา  อีกมีความเมตตาอยู่ในใจ” คำกล่าวของหม่อมหลวงปิ่น  มาลากุล เป็นคำกล่าวที่ประทับใจข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่งและข้าพเจ้าได้ยึดเอาคำกล่าวนี้ไว้ปฏิบัติกับนักเรียนตลอดมา


         ซึ่งหากครูจะทำแต่การสอนให้เป็นไปตามหน้าที่ในการถ่ายทอดเพียงวิชาความรู้ให้กับเด็ก นั้นไม่มีความยากลำบากอะไรเลย  แต่การเป็นครูให้ที่ดีทำหน้าที่ดูแลเด็กนักเรียนให้ครบถ้วนสมบูรณ์นั้นต้องอาศัยความอดทนทุ่มเท  เสียสละ  อุทิศตน เพื่อเด็ก  ต้องใช้ทั้งความรู้ทั้งศาสตร์และศิลป์  ต้องรักและเมตตาต่อเด็ก    เพื่อให้เด็กซึ่งจะเติบโตเป็นอนาคตของชาติ
ในภายภาคหน้า  เป็นคนดี  คนเก่งและมีความสุขได้นั้น จักต้องมีครูคอยดูแลเอาใจใส่
หล่อหลอมให้เด็กมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ของสังคม  เพื่อให้เด็กที่เปรียบเสมือนผ้าขาว

Triops

“Triops” มันเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตมานานกว่า200ล้านปี มีรูปร่าหน้าตาคล้ายกุ้ง+แมงดา
อยู่กับไดโนเสาร์มาโดยตลอด จนกระทั่งไดโนเสาร์ได้สูญพันธุ์หมดไป  แต่ด้วยความที่เป็นสัตว์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเพื่อให้มันสามารถปรับตัวอยู่รอดได้.. มันจึงมีวิวัฒนาการที่สุดยอดเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นอมตะนั้นเอง
           ในขณะนี้กำลังเป็นสัตว์เลี้ยงที่ฮิตในหมู่วัยรุ่นอเมริกาและออสเตรเลีย วิธีการเลี้ยงก็ง่ายแสนง่าย เพราะขายในราคากล่องละ 500 บาท ภายในบรรจุซากไข่แห้งของสัตว์น้ำดึกดำบรรพ์ชนิดนี้พร้อมอาหาร ตัวปรับสภาพน้ำและคู่มืออธิบายขั้นตอนการเลี้ยงอย่างละเอียด ซึ่งหลังจากเติมน้ำลงไปในซากไข่แห้ง  ภายใน  24 ชั่วโมง Triops ก็จะฟักตัวออกมาและจะต้องให้อาหารตามที่ระบุไว้ในคู่มือ  ก่อนจะเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ จนมีขนาดยาววัดจากหัวถึงประมาณ  1  นิ้ว แต่มีวงจรชีวิตสั้นเพียง 1-2 เดือนก็ตาย ซึ่งนับว่าเป็นของเล่นวิทยาศาสตร์ชิ้นใหม่ของวัยรุ่น”ผู้ค้าสัตว์น้ำดึกดำบรรพ์  บอกว่า  ในประเทศสหรัฐมีการเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย  เป็นของเล่นที่ขายดีพอสมควร  ทั้งนี้ ภายในกล่องบรรจุซากไข่แห้งประมาณ 30-40 ฟอง แต่จะไม่ฟักตัวครบจำนวน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมการเลี้ยงที่ถูกต้อง   การเติมน้ำสะอาดไม่มีสารเคมีเจือปน รวมทั้งการใช้โคมไฟส่องให้แสงสว่างและให้อาหารตามที่คู่มือกำหนดเขาบอกอีกด้วยว่า  ขณะนี้นักเลี้ยงกุ้งแคระหรือสัตว์น้ำหน้าตาแปลกๆ เริ่มรู้จักตัว Triops  โดยสามารถนำไปเลี้ยงในตู้ปลาตู้ไม้น้ำหรือเลี้ยงแยกเดี่ยวๆไว้ก็ได้

เหมืองโปแตช : มหันตภัยแผ่นดินอีสาน


ดิมกฎหมายแร่ไทยไม่อนุญาตให้ทำเหมืองใต้ดิน แต่หมู่นักการเมืองและกลุ่มทุนได้พยายามผลักดันให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.แร่ในปี 2545 ให้มีสาระเรื่องการทำเหมืองใต้ดินโดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของที่ดิน หากทำเหมืองแร่ลึกเกิน 100 เมตรขึ้นไป และหลังจากนั้นได้มีลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ได้พากันยื่นขอสำรวจและผลิตแร่โปแตชในเขตชุมชนและพื้นที่เกษตรกรรมของภาคอีสานเกลือ 7 แสน 7 พื้นที่ใน 6 จังหวัด โดยมีเป้าหมายจะพัฒนาอุตสาหกรรมเคมีต่อเนื่องจากเกลือและโปแตชในพื้นที่ภาคอีสาน

        นอกจากนี้ยังมีข้อถกเถียงเรื่องความเหมาะสมของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย ว่าอาจจะมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะการกำจัดกากนิวเคลียร์ซึ่งต้องส่งไปกำจัดยังต่างประเทศ แต่ทางกระทรวงพลังงานก็ได้บอกว่า ต้นทุนการกำจัดกากนิวเคลียร์จะถูกลงเนื่องจากจะมีอุโมงค์ใต้ดินมากมายในภาคอีสานแหล่งจำกัดกากนิวเคลียร์ได้

        จากงานวิจัยซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ของว่าที่ ร.ต.คมกริช เวชสัสถ์ นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาเทคโนโลยีธรณี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เรื่อง ศักยภาพเชิงกลศาสตร์ของโพรงเกลือใต้ดินในชั้นเกลือหินสำหรับการทิ้งกากนิวเคลียร์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นสิ่งที่พยายามยืนยันทางวิชาการเพื่อการนี้และได้วางแผนกันมานาน ซึ่งได้ศึกษาไว้เมื่อ ปี 2545 จากการวิจันสรุปได้ว่า

        เมื่อนำตัวอย่างแท่งแร่เกลือหินในชั้นความลึกต่าง ๆ จากการเจาะสำรวจมาทดสอบความแข็งแรงเชิงกลศาสตร์ นำมาออกแบบจำลอง และใช้การคำนวณวิเคราะห์แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์เพื่อศึกษาถึงความเหมาะสมของโพรงเกลือที่มีเสถียรภาพมากที่สุด และสามารถทิ้งกากนิวเคลียร์ได้ในระยะเวลา 500 ปี โดยศึกษาจาก 5 พื้นที่ ได้แก่

        1. บ้านเก่า อ.เมืองฯ จ.อุดรธานี 2. บ้านศรีเมือง อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร 3. บ้านกุดจิก อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร 4. บ้านโพธิ์พาน อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม 5.บ้านหนองปู อ.บรบือ จ.มหาสารคาม

        โดยตัวอย่างแร่ได้รับการอนุเคราะห์จาก บริษัท Asia Pacific Potash Corporation Ltd. หรือ APPC พบว่า ทุกพื้นที่มีแนวโน้มความเหมาะสมในการทิ้งกากนิวเคลียร์ที่ระดับความลึกต่างกัน คือ 484, 610, 585, 680 และ 799 เมตรตามลำดับ และทุกพื้นที่มีศักยภาพในการเก็บกากนิวเคลียร์ นอกจากนี้ โพรงเกลือยังสามารถใช้ประโยชน์ในการทิ้งของเสียอันตรายได้อีก เช่น ของเสียเคมี ของเสียติดเชื้อ และของเสียอุตสาหกรรม”

        เมื่อพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ปริมาณกากนิวเคลียร์และกากอุตสาหกรรมต่าง ๆ จำนวนมหาศาลจะมาจากแหล่งใดบ้าง และใครจะได้ประโยชน์จากธุรกิจจัดการของเสียเหล่านี้ ก็พบว่า ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2550 ที่ผ่านมา ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ไปลงนามข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น หรือเขตการค้าเสรี ไทย-ญี่ปุ่น (Japan – Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA)

        ข้อตกลงฉบับนี้ได้มีการคัดค้านมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายละเอียดที่ระบุถึงการให้นำเข้าขยะและของเสียจากญี่ปุ่น โดยการลดภาษีเป็น 0% ซึ่งหมายความว่าต่อไปในอนาคต ประเทศไทยก็จะต้องกลายเป็นทีรองรับขยะและของเสียจากอุตสาหกรรม ซึ่งจะถูกขนส่งมาจากญี่ปุ่น โดยที่ญี่ปุ่นไม่ต้องกังวลเรื่องการจักการขยะในบ้านตัวเองอีกต่อไป เพราะสามารถส่งตรงมากำจัดในไทยได้ บัญชีรายชื่อของเสียมีตั้งแต่ ขยะทั่วไป ขยะอุตสาหกรรม กากสารเคมี กากแร่ เถ้าที่เกิดจากการเผาขยะ ฯลฯ รวมทั้งกากนิวเคลียร์ด้วย และของเสียเหล่านี้อาจจะนำมาฝังในช่องอุโมงค์เหมืองแร่โปแตชในภาคอีสานต่อไป ซึ่งนับเป็นธุรกิจที่จะสร้างรายได้เพิ่มและผลกำไรให้กับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ใต้ดินในภาคอีสานได้อีกมาก

        จากประสบการณ์การศึกษาผลกระทบด้านต่าง ๆ ของโครงการเหมืองแร่โปแตชอุดรธานีและเหมืองแร่โปแตชในต่างประเทศ พบว่าเหมืองแร่โปแตชมักจะ สร้างผลกระทบเชิงลบที่รุนแรงหลายประการ อาทิ การปนเปื้อนเกลือและสารเคมีในน้ำใต้ดิน แผ่นดินทรุด กองหางแร่ซึ่งเป็นเกลือปนเปื้อนสู่แผ่นดินและลำน้ำ แย่งชิงน้ำจากภาวะทางอากาศจากการปนเปื้อนฝุ่นเกลือ ไอเกลือ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ฝุ่นขนาดเล็ก อุบัติเหตุ อุตสาหกรรมต่อเนื่อง จะเพิ่มความรุนแรงของปัญหาการปนเปื้อนและการแย่งชิงน้ำจากภาคเกษตรและภาคครัวเรือน รวมถึงมลภาวะทางอากาศ ขยะพิษ และปัญหาทางสังคมจากการเกิดเป็นชุมชนซ้อน

        ทั้งนี้ ประเด็นปัญหาที่สาธารณะห่วงกังวลมากที่สุด คือ โครงการเหมืองแร่โปแตชอุดรธานีตั้งอยู่บนพื้นที่ต้นน้ำ และเป็นสันปันน้ำที่เป็นรอยต่อระหว่างลุ่มน้ำลำปาว – น้ำชี และห้วยขวาง - น้ำโขงและแหล่งแร่ที่สำรวจพบและกำลังขอดำเนินการทำเหมืองของภาคอีสานอยู่ในเขตที่มีชุมชนอยู่อย่างหนาแน่น และเป็นพื้นที่เกษตรกรรม

        ณ ห้องพิจารณาคดีของศาลจังหวัดอุดรธานี วันที่ 14 – 16 และวันที่ 19 – 20 – 21 พฤศจิกายนนี้ จะมีการนัดสืบพยานในคดีบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ที่บริษัทเจ้าโครงการเหมืองแร่โปแตชอุดรธานี ฟ้องร้องดำเนินคดีกับแกนนำกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี 5 คน ซึ่งยังกินลึกในใจชาวบ้านทุกคนเมื่อปลายปี 2549 แกนนำทั้ง 5 ถูกคุมตัวในห้องควบคุมซึ่ง 2 ใน 5 ของผู้ต้องหาเป็นคู่สามีภรรยาที่มีคู่แฝด 2 ที่ตอนนั้นอายุเพียง 2 เดือนถูกคุมขังไปพร้อมกัน 6 ปีมาแล้วที่ความขัดแย้งเรื่องเหมืองแร่โปแตชอุดรธานีปะทุขึ้น และไม่มีวี่แววจะคลี่คลาย มีแต่กลิ่นอายของความขัดแย้งรุนแรง การข่มขู่คุกคามที่แกนนำผู้คัดค้านโครงการเป็นระลอก ๆ

        หากย้อนอดีตจะเห็นว่าเมื่อ 25 ปีก่อนคนมาบตาพุดเคยตื่นเต้นกับอุตสาหกรรมใหม่ เพราะคิดว่าจะได้เงินและงาน แต่ปัจจุบันคนระยองกลับพึ่งตนเองได้น้อยลง อีกทั้งไม่มีใครคาดคิดว่าเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าถ่านหินที่แม่เมาะจะเป็นสาเหตุให้ชาวบ้านละแวกนั้นต้องเจ็บป่วย ล้มตาย จนต้องย้ายหมู่บ้านวันนี้คนอีสานกำลังอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “ทุกขลาภ”

http://www.thaienv.com/content/view/526/39/